“ฟุกุชิมะ” -Fukushima- ดินแดนแห่งธรรมชาติ [ขับรถดูใบไม้เปลี่ยนสี เที่ยวขึ้นเขา ลงแม่น้ำ สุดชิวนึกว่าอยู่ยุโรป]

0
3572

                           ไปฟุคุชิมะกัน!! ………………                                                        (บอกตรงๆ ว่าในหัว คือเอิ่มมมมม อยู่ตรงไหนว้าาา)

.

.

(ตัดภาพไปที่ตอนกำลังนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพ) ในใจนึกอย่างเดียวเลยครับว่า อยากให้จังหวัดนี้หรือข้อความของผมที่จะรีวิวให้ทุกๆคนขึ้นเป็นหน้า 1 ของ Google เพราะว่าประทับสุดๆ จริงๆครับ ธรรมชาติเอย อากาศเอย ผู้คนเอย มันสุดจะบรรยายจริงๆ เสียใจมากที่จังหวัดนี้เวลาหาหน้าแรกใน Google ต้องมาขึ้นแต่อะไรที่เสียๆของจังหวัด

และนี่จะเป็นทริปแรกของผมในการเช่าขับรถเที่ยวในญี่ปุ่น….หลายๆ คนคงสงสัยกันแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมถึงตัดสินใจขับรถเที่ยวเอง

ต้องบอกเลยครับว่าคุ้มกว่านั่งรถบัส หรือ รถไฟเที่ยวเยอะมากๆ ครับ ผมลองคำนวนเวลาในการเที่ยวของแต่ละวัน รวมถึงค่าใช้จ่าย เช่ารถขับคุ้มกว่ามากๆ ครับ ได้เห็นหลายๆ สถานที่ ที่เข้าไปถึงได้ยาก ประหยัดเวลาในการเดินทางไปเยอะสุดๆ ค่าเช่ารถก็ไม่ได้แพงเลยครับ ค่าน้ำมันตอนเติมคืนรถก็ถูกจนน่าตกใจ คุ้มสุดๆ เลย เพียงทำใบขับขี่สากล ถือเงิน 505 บาท พร้อมรูปถ่าย 2 ใบ และใบขับขี่ ใช้เวลาทำที่กรมขนส่งไม่เกิน 10 นาทีก็เสร็จครับ สะดวก รวดเร็วมากๆครับรายละเอียดเพิ่มเติมตามไปลิ้งค์นี้เลยครับ https://www.dlt.go.th/th/driving-license/view.php?_did=90

ไม่พูดเยอะละ ไปเที่ยวพร้อมกันกับผมดีกว่าครับ

.

.

**ลืมบอกไปครับ ส่วนตัวผมชอบพาคุณแฟนไปเที่ยวด้วย ยังไงต้องขออภัยด้วยนะครับถ้ามีรูปคุณแฟนติดมาด้วย**

และนี้คือตารางการเที่ยวทริปนี้ของผมครับ

Day 1
  • Arrive at Narita นอน 1 คืน
Day 2
  • ออกเดินทางไปฟุคุชิมะ (ชินคันเซ็นไปลง Fukushima station)
  • Check in ที่พัก APA Hotel Fukushima
  • วัด Sonedatenmangu
  • เดินในเมืองกลางคืน
Day 3
  • รับรถเช่า 9.30
  • ขับรถไป Mt.Azumakofuji (ขับรถ 40 นาที จากตัวเมือง)
  • Azuma sports park
  • กลับที่พัก ออนเซ็น APA Hotel
Day 4
  • ขับไป Goshiki-numa (1 ชม. จากที่พัก APA Hotel)
  • Lake Inawashiro (แวะถ่ายรูปวิวภูเขา Mount Bandai จากวิวทะเลสาบ)
  • เข้าเมือง Aizuwakamatsu
  • Check in ที่พักแถว Tsuruga castle (ขับรถ 1 ชั่วโมง)
Day 5
  • Daichi-Tadamigawa Bridge 第一只見川橋梁 (1 ชม. จากที่พัก)
  • To no Hetsuri
  • กลับที่พัก
Day 6
  • Check out
  • Tsuruga castle
  • Ashinomakionsen Station (แมวสถานี)
  • Sazaedo Temple
  • กลับที่พักที่เดิม APA Hotel Fukushima  (1.15 hrs drive)
  • คืนรถ 20.00
Day 7
  • Check out APA Hotel Fukushima
  • Mount Shinobu ดูวิวเมืองจากภูเขา
  • Shinkansen back to Tokyo

(จากแพลนตอนแรกผมได้ทำอีกแพลนนึง แต่พอได้พบการสภาพอากาศ และตารางเวลาต่างๆคลาดเคลื่อนบ้าง รวมถึงฟ้ามืดไวมากๆครับในเดือนปลายตุลาคม แพลนด้านบนที่ผมเขียนให้คือแพลนที่ผมได้ปรับเปลี่ยนมาตามที่ผมได้ลุยมาแล้วนะครับ)

– ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริป – 

《Day: 1》
– ค่าเดินทาง                                               2,370¥
– ที่พัก Space hotel  (2 คน)                         2,000¥
– ค่ากิน                                                        720¥
____________________________________________
《Day: 2》
– ค่ากิน                                                     2,675¥
– APA hotel 2 คืน                                     15,500¥
____________________________________________
《Day: 3》
– ค่ากิน                                                     1,680¥
– ค่าจอดรถบนเขา Aizu                                    500 ¥
____________________________________________
《Day: 4》
– ค่ากิน                                                     1,350¥
– Airbnb 2 คืน (หาร 4)                                6,925¥
____________________________________________
《Day: 5》
– ค่ากิน                                                     1,373¥
– ค่าทางด่วน ไปกลับ                                        960¥                                                            – ค่าจอดรถที่วัด                                              200¥
– ค่าจอดรถ To no hetsuri                               300¥
____________________________________________
《Day: 6》
– ค่ากิน                                                     2,160¥
– ค่าเข้าปราสาท Tsuruga                                 410¥
– ค่าขึ้นวัด Sazaedo                                       200¥
– ค่าทางด่วนกลับฟุกุ                                      3,200¥
– APA hotel                                              4,900¥                           ___________________________________________
《Day: 7》                                                                                                                       – ค่ากิน                                                      1,389¥                                                            – เติมน้ำมัน                                                  4,389¥                                                          – ค่าเช่ารถ                                                 28,565¥

รวมทั้งทริปประมาณ                                    82,000 ¥     

——————————————————————————————————

– Day 1 : การเดินทาง –

ทริปนี้ผมเลือกเที่ยวบิน Air AsiaX มาลง Narita รอบดึกสบายๆ 19.40 (เนื่องจากผมเป็นคนทำงานตอนดึกเลยขอนอนตอนเช้าก่อนนะครับ) หลังจากเครื่องลงออกจาก ตม. เสร็จ  ให้ลงมาชั้นใต้ดินเพื่อที่จะต่อรถไฟไปยังตัวเมืองโตเกียว หาไม่ยากครับ ตามป้ายคำว่า Train ยังไงก็เจอ  ให้เดินตรงไปที่เคาท์เตอร์ Kensei สีฟ้ามองเห็นชัดเจนครับ และเนื่องจากผมได้ซื้อตั๋วบนเครื่องไว้แล้ว ทุกอย่างเลยสะดวกรวดเร็วมากครับ แถมซื้อบนเครื่องราคาถูกกว่าข้างล่างด้วย จาก 2,430¥ >>>> 2,200¥ แนะนำเลย เข้าไปให้ลงประตู 1 เพื่อไปยัง Nippori >>>> Ueno เพื่อที่จะต่อรถไฟ Shinkansen สะดวกไปยัง Fukushima ในอีกวันนึงเพราะว่ารถไฟหมดแล้ว เลยต้องรออีกวันนะครับ เที่ยวแบบนี้ข้อดี คือก็จะไม่ค่อยเหนื่อยเดินทางหน่อยครับ ยังไงใครอยากเช็คตารางรถไฟว่ามีรอบไหน ที่ไหน  อะไร ยังไง กี่โมง ผมแนะนำเว็บนี้เลยครับ http://www.hyperdia.com/en ยังไงขอตัวนอนพักก่อนนะครับ ^^

 

– Day 2 : สู่เมือง Fukushima –

พักผ่อน นอนเต็มอิ่มสดชื้นเตรียมพร้อมเดินทางสู่ฟุคุชิมะ อากาศก็ดีสุดๆไปเลย 15 องศาเย็นสบายมาก ไปทำเรื่องแลกตั๋ว JR pass ที่สถานี Ueno ตรง JR information หลังจากทำการแลกบัตร JR เสร็จก็ไปติดต่อจองตั๋ว   พร้อมที่นั่ง ตรงจุดนี้ไม่ยากครับแค่บอกจุดหมายปลายทางของเรา เดี๋ยวเค้าก็จะให้เราเลือกเวลาเดินทางเองครับว่าเราอยากเดินทางเวลาไหน

เข้าไปแลกบัตร JR pass ที่นี้เลยครับ

ที่จองตั๋วรถไฟ+ที่นั่ง

 ไม่ต้องกลัวหลงนะครับ เดินตามป้ายนี้ไปเลย

 รถไฟก็มีความรักกันบ้างอะไรบ้าง จุ๊บๆ กันหน่อย 5555

               ระหว่างรอรถไฟจัด Morning Tea ไป รสชาติมันคือชานมเลยครับแต่สีมันเหมือนน้ำเปล่า               ยอมใจคนทำเลยครับ เก่งสุดๆ

เย้รถไฟมาแล้วววววว !!

ลาก่อนเมืองโตเกียว ^^ ใช้เวลาเดินทางไปสถานีฟุคุชิมะ 1 ชม 45 นาที ก็ถึงแล้วครับเหมือนขับรถจาก      กรุงเทพ-พัทยา เลย

มาถึงแล้วครับ “ฟุคุชิมะ” และที่พักของเรา เราจะพักกันที่ APA hotel เป็นโรงแรมที่อยู่ติดกับสถานี ฟุคุชิมะ เลยครับ เราเลือกที่นี้เพราะว่าอยู่ใกล้สถานี โรงแรมก็ดูทันสมัย ใหม่มาก สะอาด และที่สำคัญมี ออนเซ็นฟรีด้วยครับ !!

 เวลา Check in 15.00 เลยถ่ายรูปรอบๆ รอเล่นครับ

 ที่เช่ารถของค่าย Toyota (ของผมทำการเช่าของ Nissan นะครับ เพราะตอนจองของ Nissan ถูกส่งครับ ไม่ได้เกี่ยวที่อะไรเลยครับ เน้นประหยัด)

 อีก 1 โรงแรมเป็นทางเลือกนะครับ อยู่ติดสถานีรถไฟเช่นกัน

 หน้าตาด้านหน้าสถานี

7-11 shop ใหญ่เลยครับที่นี้

 Ramen มื้อแรกครับ กินใน shop 7-11 ใหญ่ ฟินๆไปเลย

กินเสร็จก็เดินเล่นต่อรอบๆ

เดินไปเรื่อยๆ ตามหาวัด Sonedatenmangu ซึ่งจริงๆวัดนี้ก็ไม่ได้มีใครแนะนำมาเลยครับ บังเอิญไปเจอรูปใน Google map เห็นว่าไม่ไกลมากแถมได้เดินชมเมืองแถวๆที่พักไปในตัว

ต้นไม้ตรงนี้ ถ้ามาช่วงซากุระออกคือจะสวยสุดๆไปเลยครับ

ขนาดวัดปิดยังมีคนมาไหว้เลย

 ถือว่าสงบสุข อบอุ่นใจ ขอพรให้ทริปนี้ปลอดภัย เป็นการเริ่มต้นทริปที่ดีครับ ^^

เดินกลับที่พักสบายใจเลยครับ คอนเฟิมสภาพอากาศว่าหนาว เย็นได้เรื่องอยู่ครับ มันก็จะหนาวหน่อยๆอะ

มองกลับไปที่พักของเรา APA hotel

ถึงเวลา Check in เข้าที่พักแล้ว 15.00 !!!!  Lobby คืออลังการมากๆ

 ขึ้นมาในห้องอันดับแรกที่เตะตาคือ TV จอใหญ่มากๆ ครับ ขนาดเท่ากับเตียงนอนเลย ><

 ห้องน้ำทันสมัยมากครับ แต่ก็จะเล็กๆ หน่อย ตามสไตล์ญี่ปุ่นครับ เล็กๆ ประหยัดพื้นที่ทุกที่

เก็บของเสร็จ นอนพักผ่อนสักครู่ แป๊ปๆ หิวอีกแล้ว ไปหาอะไรกินสิครับ รออะไร 555

เดินผ่านร้านนี้โดนใจ เตะตาเราที่สุด แวะเลยทันที อิอิ

ข้นๆ ขักๆ เลยครับชามนี้

หลังจากกินเสร็จและเดินมาทั้งวัน แน่นอนครับของฟรีรอเราอยู่ที่โรงแรม ออนเซ็นนั้นเอง ที่นี้กฏก็จะเหมือนทุกที่ในญี่ปุ่นนะครับ เวลาเปิดปิด ก็ตามนี้เลยครับ

 วันนี้ลากันไปด้วยภาพนี้นะครับผม ฝันดีครับ

– Day 3 : Mt.Azuma-Kofuji –

วันนี้ตื่นแต่เช้าไปทำเรื่องรับรถ เช่ารถ และรับรถตอน 9.00AM จากที่เช่ามาออนไลน์ไว้ผ่านทาง https://www.rentalcars.com/

ผมเลือกคันนี้เพราะมันถูกที่สุดครับ และก็น่าจะดูใหญ่ ขับสบายดี Ninssan Dayz ผู้นี้นี่เอง… เฉลี่ยค่าเช่าต่อวันก็ราวๆ 1,600 บาทเองครับ ไม่ได้แพงมากนะ ยิ่งถ้ามากัน 4 คน หาร 4 ไปอีก ประหยัดไปเยอะเลย ส่วนเรื่องที่จอดไม่ได้เปลืองมากนะครับ เนื่องจากว่าเรามาต่างจังหวัด ไม่ใช่เมือง Tokyo เวลาขับไปเที่ยวสถานที่สำคัญต่างๆ ก็จอดฟรีทั้งนั้นครับ ยังไงเดี๋ยวเรื่องเสียค่าจอดจะบอกอีกทีท้ายทริปนะครับ ^^

ระหว่างเดินไปรับรถที่ Nissan rent car เราก็แวะ Family mart ซื้อของกินเบาๆสักเล็กน้อย เน้นอิ่มและประหยัดเวลา และที่สำคัญประหยัดเงินด้วยเช่นกันครับ อิอิ

เดินมาจาก Apa hotel ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ เนื่องจากผมได้จองผ่านออนไลน์และทำเรื่องทุกอย่างครบหมดแล้ว รวมถึงจ่ายตังค์ผ่านบัตร… มาถึงก็เซ็นต์รับรถ พร้อมฟังทางทีมงานอธิบายการขับขี่ในญี่ปุ่นอย่างถูกกฏหมาย และวิธีการเติมน้ำมัน รวมถึงขึ้น-ลงทางด่วนยังไง ไม่นานก็ออกไปเช็ครถพร้อมลุยกันเลยครับ!

และนี้คือรถของเราเจ้า Ninsan Dayz ต้องขอบอกเลยนะครับว่ามันก็จะเล็กกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรกนิดหน่อย อิอิ   แต่ก็ถือว่าขับดีและสบายมากๆครับ ที่สำคัญคือ เป็นรถแบบ Eco car ประหยัดน้ำมันสุดๆเลย

**ลืมบอกไปครับ ผมได้เพิ่มค่าประกันรถไว้ด้วย เพิ่มวันละ 500¥ จะคุ้มครองพวกรถเสีย โดนชน รถชน 50,000 ¥ (อันนี้จะไม่เพิ่มก้ได้นะครับแล้วแต่สะดวกเลยครับ)**

.

.

เสร็จแล้วเราก็ดิ่งตรงไปที่ Mt.Azumakofuji (ภูเขาไฟเก่าที่ดับแล้ว) ตามแพลนทันทีเลยครับ แดดเป็นใจมาก ท้องฟ้าสดใส สีสวย แต่อากาศก็ยังคงเย็นเช่นเคย ประมาณ 14°

ระยะทางก็ไม่ไกลมากนะครับ แต่ทางขึ้นเขามันจะคดเคี้ยวหน่อยๆ แต่บอกเลยว่าระหว่างทางขับรถเปิดกระจกคือฟินไปไหนนนนน!!! อากาศสดชื่นสุดๆ ขับขึ้นเขาผ่านต้นไม้ วิวเขา

 แอบตกใจว่าตกลงภูเขาไฟดับรึยังหว่าาา ><?

 ขับขึ้นมาประมาณ 20 นาทีเองครับ ก็ถึงทางเข้าจอดรถ เสียค่าเข้าจอด 500¥

                 รูปนี้ถ่ายหลังจากเดินขึ้นปล่องไฟภูเขาลงไปที่จอดรถนะครับ…จอดรถเสร็จก็ลุยสิครับ                      เดินขึ้นไปข้างบนปล่องภูเขากันเลย!

 มีเฮลิค็อปเตอร์ด้วย !!! น่าจะมีไว้สำหรับเอาไว้รองรับส่งคนป่วย คนบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลแบบเร่งด่วนนะครับ

 มองขึ้นไปละก็คิดในใจ โห… จิ๊บๆ ปีนเขามา 2 ชม.ที่บาหลีก็ผ่านมาละ แค่นี้เองสบ้าย!!

 เย้!!!ถึงแล้ว…เอาจริงๆตอนแรกมองไว้ดูเหมือนไม่สูงมากหรอกครับ แต่สรุปลิ้นห้อยจร้า ><

           Azuma-Kofuji สูงถึง 1,707 เมตร ซึ่งมีรูปร่างที่สมมาตรคล้ายภูเขาไฟฟูจิเลยเป็นที่มาของชื่อ                                                       Azuma-Kofuji  ผู้นี้นี่เองงงงงงง…                                                      ด้านบนเราสามารถเดินรอบภูเขาไฟได้เลยครับ 360° จะใช้เวลาประมาณ 1 ชม. รวมถ่ายรูปนะครับ อะ!      ปล่อยให้รูปมันเล่าเรื่องแทนละกันครับ

 ชอบคนญี่ปุ่นอย่างนึงมากตรงที่ เค้าชอบพาน้องหมามาเที่ยวด้วยนี้แหละครับ ขึ้นภูเขาไฟก็ยังพาขึ้นมา              น่ารักมากๆ ^^

 มองไปเหมือนไม่ลึก ไม่เสี่ยว บอกเลยว่า… ล อ ง ม า แ ล้ ว จ ะ รู้ !!! 

 เดินมาอีกฝั่งนึงก็จะเจอกับวิวหญ้าเขียวๆ ลำธารไหลบ้าง

 มองย้อนไปนี้ โอโห้!!! เดินมาไกลใช่เล่น ><

วิวจะฟินไปไหนเนี่ย!!!

 ครบ 180 องศา ก็จะเจอกับวิวเมือง Fukushima เลยครับ ใหญ่ใช่เล่นนะเนี่ย ^^ ใช้เวลาไป 1 ชม. เต็มๆเลยครับ เดินลงมากำลังจะขึ้นรถกลับ ก็มาเอะใจกับวิวนี้ทันที นี้ถ้าต้นไม้ใบไม้เต็มต้นพายุไม่เข้าก่อนหน้านี้น่าจะสวยมากๆเลย

 ก่อนกลับอีกสักภาพครับ จอดรถเอาเก้าอี้มานั่งชิวกันเลยทีเดียว ^^ เสร็จแล้วก็ลงเขากลับมาทางเดิมครับ หรือถ้าใครแพลนจะไปต่ออีกเมือง จะลงอีกทางละไปเที่ยว Lake Igakigowa ก็ได้นะครับ ใครที่ไม่ได้เช่ารถขับเที่ยวแบบ               ผมก็สามารถเดินทางผ่านเส้นทาง Bandai Azuma Skyline ได้ แต่จะปิดให้บริการตั้งแต่                       กลางเดือนพฤศจิกายน-กลางเดือนเมษายนนะครับ

          ระหว่างทางลงเขา จะมีขุดพักใหญ่ให้เข้าห้องน้ำ(ซึ่งจริงๆขาขึ้นมาก็เจอนะครับแต่ผมเลือกแวะขากลับ)                มีวิวสะพานแขวนเล็กๆข้ามคือสวยมากๆครับ เห็นเมืองสวยงามเลย

 แวะถ่ายรูปเสร็จลงเขามาก่อนเข้าเมือง เราได้แวะอีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนครับ นั้นก็คือ Azuma sports park

      ที่นี้จะเป็นสวนสาธรณะกว้างขวางมากๆ เราเอามาฝากแค่จุดๆหนึ่งของสวนละกันนะครับ เดินหมดไม่ไหวจริงๆ                 แอบล้าขาตอนเดินบนภูเขา ดูจากแผนที่เอานะครับว่าอยากไปจุดไหน ก็เลือกจุดจอดรถได้เลยครับ                      มีที่จอดรถทุกจุดเลย ^^

แอบเสียดายมากครับที่ใบไม้ยังสีเหลืองไม่สดเต็มตัว แต่แค่นี้ก็ฟินแล้วครับ 🙂  ขับกลับโรงแรมแบบฟินๆเลยวันนี้

 และแล้วช่วงเวลาตื่นเต้นก็มาถึงครับ หาที่จอดรถที่ญี่ปุ่น 5555 ผมเลือกที่จอดที่อยู่หลังโรงแรมครับ

 รายละเอียดก็ตามนี้เลยครับ

  • จอดรถตั้งแต่เวลา 9.00-23.00   30 นาที 100 yen
  • จอดรถตั้งแต่เวลา 23.00-9.00   60 นาที 100 yen
  • จอดเหมา 24 ชม 900 yen
  • ซื้อสินค้าที่ supermarket เกิน 2,000 yen จะเหลือ 800 yen

ผมก็เลยจอดแล้วไปสอบถามพนักงานที่ โณงแรมครับ สรุปแล้ว ไอ้เหมา 24 ชม. มันจะติดตอน 00.00 ครับ ละก็คิดใหม่ นั้นเท่ากับว่า ถ้าเราจอดตอนเที่ยงคืน ถึงเที่ยงคืน ก็จะจ่ายแค่ 900 yen ครับ แต่ผมมาจอดตอน เกือบ 17.00 สรุปจอดเอารถออก ผมเลยเสียไป 1,700 yen เลยครับ ถือว่าเป็นค่าโง่ไปครับ (ก็เค้าอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกอ่าาาา 555) ยังไงมันมีที่จอดรถหลายที่มากครับ รอบๆโรงแรม หาดีๆ อ่านดีๆ ศึกษาดีๆ หาได้ถูกกว่านี้แน่นอนครับ ^^

เสร็จสิ้นแล้วภารกิจวันนี้ พักผ่อนลงออนเซ็นที่โรงแรมดีกว่า อิอิ (รูปออนเซ็นที่โรงแรมยังไงต้องขออภัยด้วยนะครับ เนื่องจากเค้าห้ามถ่ายรูปนะครับ)

 

– Day 4 : มุ่งหน้าสู่เมือง Aizuwakamatsu –

ตื่นมา Check out สะดวกง่ายมากครับ ไม่ตรวจอะไรเลย แค่หย่อนบัตรห้องลงกล่องที่เตรียมให้หน้า Lobby ก็เป็นอัน Check out  หลังจากเสร็จพร้อมออกทุกอย่าง เราก็มุ่งหน้าไปที่ Goshiki-numa เป็นทะเลสาบ 5 สี เรามีข้อมูลไม่มากอาศัยหารูปใน Google map เอาครับ ขับไปประมาณ 1 ชม. ไม่นานก็ถึงครับ

เย้ถึงแล้ววว !!!

– -a แต่ไม่เห็นเหมือนในรูปเลยอะ ทำไมดูเป็นท่าเรือ ก็ขับตาม Map มานี้หน่าาาาาา >< สรุปหลงจ้าาาาารูปด้านบนเป็นทะเลสาบฮิบาระ(Lake Hibara) นะครับ ฮิๆ

ถามทางคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ขับรถมาจนเจอครับยังไงพิกัดตามนี้เลยครับจะได้ไม่หลงเหมือนผม          >>> https://goo.gl/maps/3y8qJtLrskw

Goshiki-numa

บอกเลยว่า นี้คือที่สุดจริงๆ!!!ใบไม้สีแดงที่ตามหาก็ได้เจอ น้ำนี้ใสไปไหนก็ไม่รู้!! มีปลาด้วย ตัวใหญ่มากๆๆๆๆๆๆ ไปเหอะที่นี้ห้ามพลาด บอกเลย!!

 มีให้พายเรือด้วยนะครับ อากาศก็ฟินสุดๆ

 คุณลุงคุณป้ามาสวีทกัน 2 คนน่ารักจังเลย 🙂

             พายเรือเสร็จ จะมีเส้นทางเดินป่าให้เดินตามริมทะเลสาบอยู่ด้วยครับ ระยะทางประมาณ 1 กม.                 เดินวนเป็นวงกลมครับ

เดินมาสักพักก็เจอกับฝูงปลายักษ์อีกแล้ว งงจังว่าทำไมถึงตัวใหญ่ได้ขนาดนี้

ผมเดินไปได้แค่ 300 เมตร ก็วนกลับเลย เดี๋ยวจะเก็บแพลนเที่ยวที่อื่นไม่ทัน เพราะช่วงนี้มืดไวมากๆครับ

เจอน้องหมาอีกแล้ว ^^

มุมนี้เป็มุมนี้คนเค้านิยมถ่ายกันครับ เห็นองค์ประกอบครบเลย

หลังจากนั้นก็มาต่อที่ Lake inawashiro ตั้งอยู่ในเขตบริเวณของภูเขา Bandai คือเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟุคุชิมะและยังเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่นอีกด้วย

ระหว่างทาง ฟินๆ ทุ่งข้าวเหลืองอร่ามเลย

ถึงแล้วครับ  Lake inawashiro

 แต่ตอนนี้หิวมากๆครับ ใกล้ๆมีร้านอาหารกึ่งจีนๆอยู่ร้านนึงขอแวะกินก่อนนะครับ

ถ้าถามว่าร้านนี้เด็ดไหม ต้องตอบเลยว่า เฉยๆครับ เน้นปริมาณเยอะ 5555 ถือว่ากินเพื่ออยู่ก็โอเคครับ ^^

อิ่มแล้วก็มาต่อกับที่  Lake inawashiro  กันต่อเลยดีกว่า

ไม่ต้องสืบเลยครับว่าทำไมมีเรือเป็ดยักษ์อยู่ มันเป็นแหล่งรวมพักผ่อนของน้องๆเค้าจริงๆครับ

ท่านอนของนาง หัวก็ยังหักมาอีกฝั่งนึงแบบ งงๆหน่อย

เห็นตากล้องมาก็แอ็คเลยทีเดียว

มุมนี้เห็นภูเขา Bandai ชัดเจนเลยครับ สวยงามมากๆ

กว้างมากจริงๆครับ เป็นน้ำเยอะมาก รวมถึงถ้ามาหน้าหนาว(หิมะ) จะได้เจอกับฝูงหงส์ ห่าน สวยงามมากครับ ถ่ายรูปน่าจะฟินน่าดู >< พิกัด : https://goo.gl/maps/VhV5cyF6eqB2

เสร็จตรงจุดนี้ผมก็ขับรถไปเรื่อยๆเรียบทะเลสาบไปแบบมั่วๆเลยครับ เผื่อเจอจุดชมวิวแบบพีคๆ Unseen  และไม่อยากโม้ครับ เจอจริงๆด้วย ^^ มั่นใจเลยครับว่าจุดนี้ต้องมีรถเท่านั้นถึงเข้ามาถึง จอดรถกระพิบไฟข้างทางกันเลย

นี้ถ้าหน้าร้อนคนต้องเยอะแน่ๆเลย มีชายหาดด้วย ^^

เงาสะท้อนกับทะเลสาบคือสวยไปไหนอะ !!! น้ำก็ใสสุดๆเลย

ดึงซูมกันไปแบบใกล้ๆชัดๆกันเลย Mt.Bandai

จบภารกิจวันนี้เข้าที่พัก Airbnb ในเมือง Aizuwakamatsu ลายแทงตามนี้เลยครับ https://th.airbnb.com/rooms/17642541?checkin=&checkout=&adults=1&children=0&infants=0&location=aizumakamatsu&tier_override=0

ระหว่างทางไปที่พักเจอรถคันนี้ สีรถน่ารักอะ >< อดถ่ายไม่ได้จริงๆครับ

กลับที่พัก ซื้อกับข้าวที่ Supermarket มาทำกินเอง เน้นประหยัดครับมื้อนี้ อิ่มอร่อยสุดๆเลยตกคนละ 500 yen เอง คุ้มมากๆครับ หลับฝันดีเลย ^^ ที่พักถือว่าดีเยี่ยมมากๆเลยครับ ห้องก็กว้างสุดๆ คุ้มมากๆถ้ามากันหลายคน หารกันถูกๆเลย มีครัวให้ทำอาหารด้วย แถมมีห้องกลางแบบปาร์ตี้ร้องคาราโอเกะได้สบายๆเลย (ที่พักที่นี้จอดฟรีครับ สบายเลย เสียแค่อย่างเดียวคือไม่มีลิฟต์และห้องอยู่ชั้น 3 ครับ แต่บันไดไม่สูงชันครับ สบายๆ)

– Day 5 : Tatami bridge >>> To no Hetsuri –

ตื่นมา ออกจากบ้าน 9.30 อากาศกำลังดี ไม่มีแดดเลย ฟ้าเย็นสบาย แต่ถ่ายรูปก็จะไม่สวยเท่ามีแดด >< วันนี้เราขับรถดิ่งตรงไปที่ Tadami bridge ทันที ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ***อย่าลืม Seat Belt โดยเด็ดคาดนะครับที่นี้จริงจังไม่เหมือนบ้านเรานะครับ และวันนี้เรื่องตื่นเต้นก็รออยู่คือต้องขึ้นทางด่วนในญี่ปุ่นครั้งแรกคัรบ บัตร ETC ก็ไม่ได้ทำเตรียมไว้(เหมือน easy pass บ้านเรา) อันนี้ตั้งใจไม่ทำเพราะอยากทำรีวิวให้กับคนที่ไม่สะดวกที่จะทำ ETC

เมื่อถึงทางขึ้นทางด่วน ให้เข้าช่องที่ไม่ได้เขียนว่า ETC ตอนขึ้นไม่ต้องจ่ายตังค์ก่อน ขับเข้าไปตรงเครื่อง บัตรมันจะเด้งออกมาอัตโนมัติเอง ให้เราหยิบบัตรแล้วไปรอจ่ายตอนออกครับ

พอถึงทางออกก็เช่นเคยครับ อย่าเข้าช่อง ETC ก็พอครับ ทางออกจะมีพนักงานรอเก็บตังค์เรา ไม่ต้องจ่ายกับเครื่อง ถือว่าเป็นเรื่องง่ายขึ้นครับ จ่ายไป 480¥ ก็ถือว่าไม่แพงมากนะครับ เสร็จแล้วก็ขับไปที่หมายของเรา!!

ถึงแล้ววววว อยากจะบอกว่าระหว่างทางขับรถเปิดกระจก ชมวิวเป็นอะไรที่ฟินสุดจริงๆ วิวอย่างกับอยู่ยุโรปเลยครับ

เมื่อถึงก็มีจุดพักจอดรถใหญ่มากครับ ไม่หลงแน่นอน

คนญี่ปุ่นพาน้องหมามาเที่ยวด้วยตลอดเลยอะ น่ารักจุง

ตรงที่จอดรถจะมีจุดขายของใหญ่ๆ เป็นเหมือนให้คนพื้นบ้านมาขายของให้กับนักท่องเที่ยวตรงนี้ครับ มีร้านอาหารด้านในด้วยนะครับ

จอดรถเดินชมของพื้นบ้านเสร็จ ต้องเดินย้อนกลับไปทางอุโมงค์ที่เราขับมา มันจะมีบันไดให้ขึ้นไปดูจุดชมวิว     สะพานที่รถไฟ JR จะวิ่งผ่าน

ตรงจุดนี้ต้องเช็คตารางเวลารถไฟดีๆนะครับ จะได้ไม่ต้องืมานั่งรอดูรถไฟเหมือนผม >< ผมเสีบเวลารอรถไฟไป 1.15 ชม. เลยครับ ทำให้ตารางเที่ยวผมคลาดเคลื่อนเลย ยังไงก็เช็คเวลากันดีๆนะครับ

ตารางเวลารถไฟตามนี้เลยครับ

เดินขึ้นมาแปปเดียวครับ ก็จะถึงจุดชมวิวจุดที่ 1 กันครับ ทั้งหมดจะมี 3 จุดชมนะครับ ใครขยันเดินขึ้นหน่อยก็เดินครับ ไม่สูงมาก แต่ก็ลิ้นห้อยนะ อิอิ แต่มาทั้งที่ก็เดินขึ้นไปให้สุดเถอะครับ สวยงามแน่นอน

ไปต่อกันจุดที่ 2 กันเลยครับ

ลิ้นห้อยกันเลยทีเดียวครับ บอกแล้ว อิอิ

จุดที่ 2 ถึงแล้วว มีคุณลุงมาจับจองตำแหน่งเรียบร้อย 5555

       จากจุด 1 กับ 2 วิวที่ได้แถบไม่ได้ต่างกันเลยครับ จะได้เปรียบกันที่มุมกว้างของเงาสะพานที่สะท้อนกับ       น้ำมากกว่าครับ

ไปกันต่อที่จุดสุดท้ายเลยดีกว่าครับ อยู่ห่างจากจุด 2 นิดเดียวครับ

โอ้โหวววว ห่างกันนิดเดียวแต่ มุมภาพอย่าง World !! คนละเรื่องกับจุด 1 และ 2 เลยครับผม

และแล้วเวลาที่เรารอมานานก็มาแล้วครับ รถไฟมาแล้ววววว !!! ปู้น ปู้น!!! (ของจริงไม่มีเสียงหรอกครับ ผมมโนไปเอง 555)

วิวสุดยอดจริงๆครับ การมาที่นี้ ห้ามพลาดจริงๆ

แถมรูปน้องหนอนตอนขาลงจากวิวถ่ายรูปให้ครับ กาดื้บ ๆ

หลังจากได้รูปที่ต้องการแล้วก็ขับรถเล่นระแวกนั้นไปเรื่อยๆครับ บังเอิญเจอวิวนี้พอดีขอจอดข้างทางแอบถ่ายแปป ก่อนไปต่อที่ To no Hetsuri

เนี่ยแหละน้าาาา ข้อดีของการมีรถส่วนตัว ^^

และเนื่องจากผมเสียเวลาไปกับการรอดูรถไฟวิ่งผ่านสะพาน วันนี้ผมเลยต้องตัด นายสถาณีแมวออกไปก่อนครับ วิ่งตรงไปที่ To no Hetsuri เลย เพราะแสงจะหมดแล้วครับ ><

ฟ้าเริ่มมืดแล้ววววว ><

ถึงแล้วครับ หน้าผา To no hetsuri

To no Hetsuri เป็นหินหน้าผาที่เกิดจากการกัดกร่อนเซาะจนเป็นรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับเจดีย์เลยครับ เป็นปรากฏการณ์จากธณรมชาติ ซึ่ง To มาจากคำว่าเจดีย์ ส่วน hetsuri แปลว่า หน้าผา จึงกลายเป็นชื่อตามปัจจุบันนี้เลยครับ To no hetsuri หน้าผาเจดีย์

มุมด้านฝั่งขวา

มุมด้านฝั่งซ้าย

มีบันไดให้เดินขึ้นมาด้านบนนิดหน่อย ขึ้นมาก็เจอกับศาลเจ้าญี่ปุ่นเล็กๆ ต้นไม้หน้าศาลเจ้าคือสูงใหญ่มากๆเลย

มุมด้านบนยิงลงไปทางสะพานที่ข้ามมาก็สวยไปอีกแบบนะครับ

มุมนี้ถ่ายย้อนไปทางที่ข้ามมา ตรงจุดมุมสูงตรงด้านหน้าทางเข้า

ยังไงใครไม่มีรถมา ก็สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี To no Hetsuri Station ได้เลยครับ สะดวกสะบายมาก

– Day 6 : Tsuruga Castle >>> Ashinomikionsen Station >>> Sazaedo temple –

วันนี้ตื่นมาแต่เช้า กินข้าวเช้าที่ซื้อไว้เมื่อคืน (ออกแนวประหยัดๆหน่อยครับทริปนี้^^) แต่วันนี้อากาศพาง่วง slow life มากๆครับ ฝนตก เมฆฟ้ามืดครึ้ม ฟ้าไม่เปิดเลย หมอกก็ลงหนาตา แต่เนื่องจากโปรแกรมเราที่วางไว้ก็ไม่อยากพลาด เราก็จำเป็นต้องลุยครับ ยังดีที่เรามีรถเช่าส่วนตัว ไปไหนมาไหนสะดวก แต่แน่นอนครับ                       แวะ Minimart ซื้อร่มแพร้บ

พร้อมแล้วมุ่งหน้าสู่ไปยัง ปราสาท Tsuruga กันเลย ห่างจากที่พัก เพียงแค่ 10 นาทีก็ถึงละครับ จอดรถสะดวก เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงปราสาทเลย

เดินไปใกล้ๆถึงด้านหน้าทางเข้า ข้างๆก็มีศาลเจ้าด้วยนะ

ถึงด้านหน้าแล้วก็แฉะภาพกันสักหน่อย ^^

ส่วนใครจะขึ้นไปบนปราสาทก็ต้องเสียค่าขึ้นด้วยนะครับ จะมีให้เลือก 2 แบบ คือเสียแค่ค่าขึ้นปราสาท หรือจะ บวกเพิ่มเข้าโรงน้ำชาด้วย แต่ไม่สามารถถ่ายรูปข้างในได้นะครับ (อดเอาภาพมาฝากเลย)

ตัวด้านในปราสาทก็จะเป็นแนวคล้ายๆเข้าไป Museum เลยครับ จะบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของเมือง ของที่มาของปราสาท โชว์เครื่องมืออุปกรณ์ในสมัยก่อน เล่าถึงตัวบุคคลสำคัญ อะไรประมาณนี้ครับ เดินวนเป็นชั้นๆไปจนถึงชั้นบนสุดก็จะเป็นวิวมองเห็นตัวเมือง 4 มุมชัดเจนมากครับ (ตรงจุดนี้เราสามารถถ่ายรูปได้นะครับ)

หลังจากเข้าชมด้านในเสร็จ เดินออกมาถึงจุดทางออกก็จะมีร้านขายของที่ระลึกรวมถึงขนมเยอะเยะมากมายเลยครับ ผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนมันเด็ด ดังสุด เลยลองจิ้มมั่วๆมาดูเป็นเจ้ากล่องนี้ครับ

                 หน้าตามันดูน่าจะอร่อยดี เลยเลือกอันนี้ครับ 555 สรุปแล้วก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยทีเดียวนะ                    มันจะเป็นแบบไส้ครีม+ถั่ว ฝืดๆเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วถือว่าผ่านครับ 🙂

ส่วนรูปนี้ก็คือโรงน้ำชาแต่ต้องซื้อบัตรเข้าด้วยนะครับ

เสียดายว่าฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆเลยครับ การถ่ายรูปเลยยากลำบากมากๆ ต้องขออภัยด้วยนะครับ

เดินชมปราสาทเสร็จเรียบร้อย ฝนก็ตกหนักขึ้นไปอีกครับ >< แต่เรามีร่ม เราไม่กลัว 5555 ลุยต่อไปกันที่ นายสถานีแมว Ashinomikionsen ขับต่อไป ประมาณ 20 นาทีก็ถึงครับ “Ashinomikionsen Station”

บรรยากาศฝนตกเงียบเหงามากครับ

ต้องเซ็งจิตกันไปเพราะว่า เจ้าแมวสถานีหลับปุ๋ย 2 ตัวเลยครับ แต่ที่เซ็งไปมากกว่านั้นคือ เค้าห้ามถ่ายรูปครับ หือๆๆๆๆๆ ไม่รู้จะโทษฝนดีไหม นุ้งแมวหลับปุ๋ยเลย ไม่ออกทำงาน ><” เอาศาลแมวมาฝากแทนละกันครับ

ท่าทางฝนน่าจะตกทั้งวันดูจากพยากรณ์อากาศแล้ว เราเลยขอข้ามโปรแกรมหมู่บ้าน Ouchi-juku หมู่บ้านโบราณไปครับ เพราะว่ามันจะไกลนิดนึง แล้วฝนก็ตกตลอด หมอกลง การถ่ายรูปหรือเดินเที่ยวชมก็ไม่ค่อยสะดวกครับ แล้วก็ตรงขับรถกลับไปตัวเมืองฟุคุชิมะด้วย

สุดท้ายหาโปรแกรมที่เป็นทางผ่านกลับเมืองฟุคุชิมะแทน ก็ได้มาเป็น Sazaedo temple วัดเก่าแก่ที่ออกแบบสร้างอย่างมีเอกลักษณ์ และไม่เหมือนใคร

ถึงวัดแล้วหาที่จอดด้านหน้าเลยครับ เดินขึ้นบันไดจะค่อนข้างสูงนิดนึงนะครับ ทางวัดจะมีบันไดเลื่อนให้ขึ้นด้วย แต่ต้องเสียตังค์ 250¥ ขึ้นไปถึงบนวัดเลย สะดวกสะบาย

พอสุดทางเลื่อนก็ให้เดินไปทางโค้ง ตามทางไปเลื่อยๆ ก็จะเจอกับวัด

ดูขลังมากๆเลย

ใครจะขึ้นไปด้านบนก็เสียตังค์เช่นเคยครับ 400¥ ส่วนตัวผมว่ามันแพงไปเพราะ ข้างในก็ไม่ได้มีอะไรมากเลยครับ เดินวนๆเป็นเกลียวขึ้น-ลง แต่ก็ต้องยอมเรื่องการออกแบบสร้างเลยครับ เจ๋งมากๆ ทางขึ้นทางลงคนละฝั่งกัน เป็นเกลียวขดม้วนกันขึ้นไป

นำภาพด้านในมาฝากกันครับ เผื่อใครเฉยๆจะได้ไม่ต้องเสียค่าเข้าขึ้นไปด้านบนครับ แต่ถ้าใครอยากรูว่าเป็ฯยังไงก็จัดไปเลยครับ

ด้านหน้าทางเข้า

บันไดเกลียวสวยงามมากครับ

เพดานชั้นบนสุด

วิวจากด้านบน

ส่วนทางลงจะเป็นคนละทางกับทางขึ้นนะครับ มันจะเป็นบันไดเกลียว 2 เกลียวขดกันวนขึ้นไปเป็นวัด               สร้างได้สุดยอดจริงๆครับ

                                            น้องฝนตกหนักไม่หยุดหย่อนเลย T T                                                 ส่วนใครไหวก็สามารถเดินขึ้นต่อไปอีกหน่อยได้นะครับ มีอีกชั้นนึงของที่นี้ จะเป็นส่วนของสุสานครับ

ด้านบนก็ไม่มีอะไรมากครับ เดินลงกลับขึ้นรถดีกว่า ไม่ไหวแล้ววว ฝนตกไม่หยุดเลย หนาวววว >< บรึ๊ยๆ

เสร็จแล้วขับรถกลับฟุคุชิมะ ผมเลือกขึ้นทางด่วนเพราะเร็วกว่า และอยากรู้ด้วยครับว่าจะแพงมากไหม สรุปโดนค่าทางด่วนไป 3,200¥ ครับ จริงๆแล้วผมว่าน่าจะถูกกว่านี้หน่อยนะครับ ของผมมีเลี้ยวผิดทางด้วยเลยต้องลงทางด่วนละขึ้นใหม่เลย หือๆๆๆ แต่สุดท้ายก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ใช้เวลาไปประมาณ ชม.กว่าๆ

กลับมาที่พัก คืนนี้ได้ซูชิเซ็ตแบบลดราคามาด้วยอีก 1 ชุดครับ ผมแนะนำว่า ใครอยากได้ของถูกๆดีๆ ให้มาซื้อตอนประมาณ 19.30 ที่ 7-11 ใหญ่ Supermarket ใกล้ๆโรงแรม APA hotel นะครับ เค้าจะลดราคา แบบ 30-70% จากป้ายเลย คล้ายๆ Top supermarket บ้านเราตอนดึกๆเลยครับ

 

 

– Day 7 : Last day in paradise –

วันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว หือๆๆๆ ไม่อยากกลับเลยครับ บอกตรงๆว่า ตกหลุมรักฟุกุชิมะไปแล้วครับ แต่ทำยังไงได้ครับ ปาร์ตี้ต้องมีวันเลิกลา  วันนี้ก่อนกลับไปโตเกียวขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพ เราจะพาไปชมวิวเมืองบนภูเขาเล็กๆที่อยู่ในเมืองครับ นั้นก็คือ Mt.Shinobu

.

.

วันนี้แอบตื่นสายนิดนึงครับ เนื่องจากเดินลุยเที่ยวมาหลายวันแล้ว >< Check out เลทไปนิดนึง โรงแรม APA ก็ไม่ได้ว่าอะไร หรือ ปรับอะไรครับ ดีจุงเบย แต่ก่อนอื่นขอแวะทานเข้าก่อนลุยกันสักครู่ มื้อนี้กินสไตล์ญี่ปุ่นของแท้เลยครับ เนื้อจิ้มไข่ดิบ แต่อยากบอกว่าอร่อย หอมหวานเลยครับ

เสร็จแล้วก้ไปดูวิวเมืองต่อตามแพลนที่ Mt.Shinobi ตรงนี้จะมีจุดพักให้ดูวิว 3 จุดใหญ่ๆด้วยกัน วันนี้ผมได้มาดู     2 จุด ขับรถมาง่ายมากๆครับ ขึ้นเขาก็ไม่เยอะ มีที่จอดรถเดินต่อไป ประมาณ 300 เมตร ได้ก็ถึงจุดชมวิวแล้ว ที่สำคัญ ไม่มีคนเลยครับ เงียบสงบมากๆ ^^

มีศาลเจ้าเล็กๆด้วย

ถึงแล้วครับ เดินมาไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงแล้ว

วิวอย่างฟินเลยครับที่นี้

บอกเลยว่า จุดแรกคือ พีคของพีค!!!   ก็พบกับจุดชมวิวเมืองอย่างพีคเลย สวยงามมาก ตอนมาถึงเพิ่ง 16.30 เอง ก็เริ่มมืดแล้ว ×× แต่เราก็ช้าเองแหละวันนี้ แวะกิน แวะซื้อของไปเรื่อย 5555 เสร็จภารกิจวันนี้ เดินทางกลับ Tokyo เสร็จจุดแรก (เสียเวลาไปพอสมควรเลยครับ) ก็มาต่อจุด Observation No.1 ฟ้ามือไวมากๆวันนี้แสงหายหมดแล้วครับ เสียจุย แต่ก็ถือว่าได้ชมเมืองอีกฟิวนึง ก็ดีเหมือนกันครับ สรุปก็แอบคุ้มที่ได้ดูทั้งตอนพระอาทิตย์ตก ละแสงสีของเมืองนี้ก่อนกลับบ้าน

และแน่นอนครับเราต้องเติมน้ำมันเต็มถังคืนให้เค้าด้วย ยอดออกมาที่ 4,389 ¥ ครับผมมมม ส่วนตัวผมว่าคุ้มมากๆๆๆ!! ขับไปมาหลายที่สุดๆครับ  หารกันยังไงก็คุ้มกว่านั่งรถไฟเยอะเลยครับ แถมประหยัดเวลาไปอีกด้วย

——————————————————————————————————

เมื่อก่อนพอได้ยินคำว่า “ญี่ปุ่น” ก็จะนึกถึงแต่ โตเกียว โอซาก้า ผมต้องบอกเลยครับ ถ้าพูดถึงญี่ปุ่นอีก ภาพแรกที่ขึ้นมาในหัวจะเป็นฟุกุชิมะ แน่นอนครับ ยิ่งมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี้คือฟินสุดๆเลย ได้ขึ้นเขา ยันริมแม่น้ำสีเขียวมรกต   อมฟ้า บอกเลยว่า Rode trip คุ้มสุดๆเลยครับ!!! ทั้งค่าเช่ารถ ค่าทางด่วน ค่าน้ำมัน กับสิ่งที่ได้ขับไป ได้ไปเที่ยวหลายที่มากๆ ถ้านั่งรถไฟสาธารณะ หรือ รถบัสเที่ยวเมืองนี้ ผมคงเก็บที่เที่ยวได้ไม่หมดแบบนี้แน่ๆครับ

 

ไว้เราจะได้พบกันอีกแน่นอน เจ้า “Fukushima”

 

LEAVE A REPLY