พูดถึงเยอรมันนึกถึงอะไรกันบ้าง ปาร์ตี้? ขาหมู? และถ้าพูดถึงเบอร์ลิน คงหนีไม่พ้นกำแพงเบอร์ลิน บนโลกเรามีเมืองต่างๆมากมาย ที่มีความสวยงามและน่าหลงใหล แต่จะมีสักกี่เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเกือบทั่วทั้งเมืองอย่างกรุงเบอร์ลิน เบอร์ลินเป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมนี มีประชากรมากที่สุดในเยอรมนีและมากเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป โอโห้ววววว คนเยอะจริงเชียว แถมเบอร์ลินยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่มีอิทธิพลที่สุดของยุโรปในหลายๆด้านอีกด้วย แต่น่าแปลกใจมากสำหรับเรา เบอร์ลินที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งกลางคืน เมืองแห่งสีสันและการปาร์ตี้ เมืองที่มีความเจริญ แต่ใครจะไปคิดว่าเบอร์ลินจะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมายขนาดนี้ แถมยังเต็มไปด้วยงานศิลปะแบบ street art ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอีก นอกจากเมืองที่มีความน่าสนใจแล้ว ผู้คนก็ดีน่ารักและเฟรนด์ลี่มาก อาหารก็อร่อยมีความหลากหลาย เอาเป็นว่า เราอินเมืองนี้มาก ทุกคนคงอยากรู้กันแล้วว่าทำไมเราถึงอินเมืองนี้ งั้นไปตามอ่าน ตามอินกับเรากันเล้ยยยยยยยยยยยย
สำหรับข้อควรรู้ก่อนไปเยอรมัน
- เวลาท้องถิ่นที่เยอรมันช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 5 ชั่วโมง
- อัตราแลกเปลี่ยน เยอรมันเรียกว่า “ยูโร” 1 ยูโร เท่ากับ 39 บาท โดยประมาณ
- ลักษณะอากาศของเยอรมันเป็นแบบ ค่อนข้างหนาวเย็น มี 4 ฤดู คือ
ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 18 – 20 องศาเซลเซียส
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) อากาศจะเย็นลงและมีฝน ใบไม้จะเปลี่ยนเป็น สีเหลืองบ้างสีแดงบ้าง
ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 5 องศาถึง ลบ 5 องศา เซลเซียสโดยจะมีหิมะตกบ้าง
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) อากาศจะอุ่นขึ้น ดอกไม้เริ่มบานและต้นไม้จะแตกใบอ่อนมีความเขียวขจี
- ก่อนที่เราจะเดินทางเรื่องวีซ่า คือสิ่งสำคัญที่สุด เราต้องยื่นขอวีซ่าแบบ Schengen
- ไปเยอรมันทั้งทีห้ามพลาดที่จะดื่มเป็นอันขาด เพราะเขาโด่งดังเรื่องเบียร์สดสุดๆ
DAY 1 First time in Berlin
ทริปนี้เราเดินทางไปเบอร์ลินกับสายการบินสกู๊ต (แอบกระซิบว่าไฟท์ที่เราบิน เป็นไฟท์ปฐมฤกษ์ซะด้วย) เนื่องจากว่าเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา สกู๊ตเปิดเที่ยวบินจากสิงคโปร์ไปเบอร์ลินเป็นวันแรก รูทนี้มีบิน 4เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ถ้าใครสนใจสามารถเข้าไปจองตั๋วได้ที่ www.FlyScoot.com หรือจองผ่านแอพ Scoot ได้เลย เราตื่นเต้นมากเลยนะ เพราะได้ยินมาว่าเมื่อเครื่องบินลงจอดที่เบอร์ลินเทเกลปุบจะได้รับการต้อนรับด้วยอุโมงค์น้ำ มันเป็นธรรมเนียมสำหรับรูทเปิดใหม่ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยบินอะไรที่เป็นไฟท์แรก รูทแรกเลย ตื่นเต้นๆๆๆๆ หลังจากนั่งกันมาอย่างยาวนานเกือบ 13ชั่วโมง เราก็มาถึงกันแล้วเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน!!! และสิ่งที่เราลอยคอ เอ้ย รอคอยการฉีดน้ำ มีฉีดน้ำต้อนรับจริงๆด้วย นอกจากนั้นยังได้ตุ๊กตาหมีตัวเล็กเป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆด้วย น่ารักกกกก
เนื่องจากเป็นไฟท์เปิดตัว เลยมีกิจกรรมให้ผู้โดยสารเล่นบนเครื่องด้วย
น่ารักมั้ยยยยยยย
หลังจากผ่านตม. เอากระเป๋าเรียบร้อย เราเลือกที่จะไปรอเช็คอินที่โรงแรมก่อนเลย โรงแรมที่เราพักชื่อว่า Capri by Fraser ทำเลดีมาก เราชอบมาก ใกล้มิวเซียม ใกล้ห้าง ป้ายรถเมล์อยู่หน้าโรงแรมเลย เป็นไง ดีม้ะ ฮ่าๆ พอได้ห้องก็ขึ้นไปเก็บของ ล้างหน้าล้างตา และก็ได้เวลาที่ต้องกินแล้ว มื้อแรกที่เบอร์ลิน เรากินที่ห้องอาหารของโรงแรมเลยจ้า เพราะโรงแรมมีร้านอาหารและคาเฟ่ด้วยนะเธอ
หน้าตาห้องพักของเรา
คาเฟ่ภายในโรงแรม อยากจิบอกว่าพนักงานที่นี่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ แถมหล่อซะด้วย ><
มื้อแรกของเรา
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ไปเดินเล่นชมเมืองกันดีกว่า ด้วยความที่อยากรู้ว่าใกล้ๆโรงแรมเรามีอะไรบ้าง
เมืองสวย ตึกสวย ถ่ายรูปเพลินมาก
St. Nicholas’ Church เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดในกรุงเบอร์ลิน ตอนนี้กลายเป็นมิวเซียมไปแล้วด้วยยยยย ข้างในมิวเซียมจะทำให้เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคกลางของเมืองได้เลย
มหาวิหารเบอร์ลิน (Berlin Cathedral) มหาวิหารนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเบอร์ลิน โดยมหาวิหารถูกสร้างในระหว่างปี 1894-1905 ในรูปแบบสไตล์อิตาเลียนเรอเนสซองส์ ใช้เป็นที่ทำพิธีการ เจิมน้ำมนต์ เข้าพิธีอภิเษกสมรส และใช้เป็นสถานที่ฝังศพของสมาชิกในราชวงศ์ซึ่งบริเวณชั้นใต้ดินของมหาวิหารแห่งนี้ มีหลุมฝังศพของราชวงศ์โฮเฮ่นซอลเลิร์นอยู่ด้วย
ขอถ่ายรูปด้วยสักหน่อย ของจริงสวยงามมากมาก
ทำไมต้องทำเท่ขนาดน้านนนนน คุณทหาร
กำแพงเบอร์ลิน เป็นกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็น มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นพรมแดน ระหว่างเบอร์ลินตะวันตก กับเบอร์ลินตะวันออก
พรุ่งนี้เราจะไปดูกำแพงเบอร์ลินอีกที่นึงกันด้วย ก็จะได้เห็นและรู้ข้อมูลความเป็นมากันมากขึ้น
หลังจากเดินเล่นดูรอบเมือง ได้ความรู้ไปแน่นๆแล้ว ก็ได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว เย้ๆ หิวเหลือเกิน ร้านที่เราไปกินชื่อว่า The Grand เป็นร้านสไตล์ฝรั่งเศสบวกเยอรมัน
เนื้อวัวแบบมีเดียมแรร์ นุ่มละลายลิ้นมากมาก สีเหลืองข้างๆคือมันฝรั่ง มาแบบเป็นแผ่นๆ เกร๋สุด
ของหวานนนนน ช้อคลาวาาาา มีไอติมบลูราสเบอร์รี่อีก ฟินจุง
หลังจากนั่งกินชิวๆ มองดูนาฬิกา ตกใจมากเว่อ 4ทุ่มแล้วหรอเนี่ย แต่ฟ้ายังสว่างเหมือน 6โมงเย็น เลยนั่งเพลินไม่ได้สนใจเวลาเลยจ้า กลับไปนอนพักผ่อนกันดีกว่า ZZzzzzz
DAY 2 Berlin Wall
วันนี้เราก็เลือกจะนั่งรถชมเมืองเหมือนเดิม แต่จะไปไกลกว่าเมื่อวานสักหน่อย อาคารนี้คือ Konzerthausorchester Berlin เป็นคอนเสิร์ตเฮาส์แห่งกรุงเบอร์ลินเป็นสถานที่แสดงงานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง มีทั้งการแสดงของวงดุริยางค์ประจำคอนเสิร์ตเฮาส์ และมีการแสดงร่วมกับนักดนตรีคลาสสิกจากชาติอื่นๆด้วย ภายนอกสวยมากเลยอ่ะ สวยจริงๆ
รูปที่อยู่บนกำแพงตึกคือวันที่เริ่มสร้างกำแพงเลย วันที่เริ่มแบ่งแยกทั้ง 2ฝั่งออกจากกัน
หลังจากไปถ่ายรูปกับคอนเสิร์ตเฮาส์ เราก็มาต่อกันที่กำแพงเบอร์ลิน เป็นกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็น มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกกับเบอร์ลินตะวันออกมีความยาวทั้งสิ้น 155 กิโลเมตร เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) และปิดกั้นพรมแดนนี้เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนถูกทลายในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 ในเยอรมนีตะวันออก กำแพงเบอร์ลิน คือ แนวเขตแดนที่มั่นคง และสัญลักษณ์ของการต่อต้านทุนนิยม แต่สำหรับโลกเสรีแล้ว มันคือ สัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างระบบทุนนิยมของยุโรปตะวันตก ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา กับระบบคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต หรือที่เรียกกันว่า สงครามเย็น นั่นเอง กำแพงเบอร์ลิน ทำให้กรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก กลายเป็นเสมือนหน้าต่างสู่เสรีภาพ
นับตั้งแต่การสร้างกำแพงเบอร์ลิน การข้ามผ่านแดนจากเยอรมนีตะวันออกไปยังเยอรมนีตะวันตกกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หากมีการฝ่าฝืนและถูกพบเห็น มีโทษสถานเดียว คือการยิงทิ้งตรงบริเวณกำแพงนั่นเอง ตลอดระยะเวลา 28 ปี คาดว่ามีผู้เสียชีวิตที่กำแพงเบอร์ลินขณะหลบหนีระหว่าง 137 ถึง 206 คน ที่นี่ทำให้เราอินมากที่สุดเลย เรื่องราวความขัดแย้งมันส่งผลเสียกับหลายๆอย่างในตอนนั้น รู้สึกหดหู่นิดหน่อย แต่มันก็ผ่านมาแล้ว
นี่คือช่องที่คนสมัยนั้นใช้มองไปอีกฝั่งนึงของกำแพง
ภาพมุมสูง
เราเดินทางต่อไปที่กำแพง Street Art ที่นี่ยังเป็นส่วนของกำแพงเบอร์ลินที่ยาวที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งมีการเชิญศิลปินมากมายจากทั่วโลกมาวาดภาพที่แนวกำแพงให้ชมฟรีถึง 105 ภาพ ภาพสำคัญคือ Kiss of Death ภาพการจูบอันดูดดื่มของ Leonid Ilyich Brezhnev ผู้นำสหภาพโซเวียต กับ Erich Honecker ผู้นำเยอรมันตะวันออก
หลังจากที่เราไปถ่ายรูปกับกำแพงสตรีทอาร์ตเรียบร้อยแล้ว เราก็มาประตูบรันเดินบวร์คต่อ ที่นี่เป็นอดีตประตูเมืองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นประตูชัยที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิก และปัจจุบันถือว่าเป็นสถานที่สำคัญที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในกรุงเบอร์ลิน
น้องผึ้งๆ น่ารักกกกกกกก
ก่อนไปร้านอาหาร เราแวะถ่ายรูปหน้าอาคารที่ประชุมใหญ่ไรชส์ทาค สร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิเยอรมันเพื่อเป็นที่ประชุมของรัฐสภาเยอรมัน อาคารนี้เริ่มใช้งานในปีค.ศ. 1894 จนกระทั่งถูกวางเพลิงในปีค.ศ. 1933 เหตุวางเพลิงสร้างความเสียหายอย่างมากแก่อาคารนี้ทำให้มันถูกปล่อยทิ้งร้างกว่าสี่ทศวรรษ เมื่อมีการรวมประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 1990 ก็มีการบูรณะอาคารนี้โดยสถาปนิกนอร์มัน ฟอสเตอร์ การบูรณะเสร็จสิ้นใน ค.ศ. 1999 และถูกใช้เป็นอาคารรัฐสภาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมาตั้งแต่นั้น
และแล้ว เราก็มาถึงร้านมิชลินสตาร์ ระดับ 2ดาวกันแล้ว!! โอ้ย ตื่นเต้น ไม่เคยกินร้านแบบนี้มาก่อนเลย อยากรู้ว่าอาหารจะอร่อยขนาดไหน ร้านนี้ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาแบบสุดๆ เพราะได้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดอันดับที่ 48 ของโลกอีก!!! ป้ะ ไปดูกันว่าภายในร้านและอาหารจะหน้าตาเป็นยังไงงงงงง
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
เมนูนี้ชื่อว่า IKARIMI SALMON เนื้อแซลมอนคือดี นุ่ม ละลายในปาก ฟินอ่ะฟิน
เมนูนี้คือ LANGOUSTINE มีความกลิ่นวาซาบิหน่อยๆ มีความกรอบของข้าวพอง อร่อยมาก
เนื่องจากเป็นร้านแบบมิชลิน การเสิร์ฟอาหารก็จะเสิร์ฟแบบช้าๆ ค่อยๆเสิร์ฟทีละอย่าง ให้ทุกคนได้ลิ้มรสความอร่อยแบบไม่ได้รีบเร่ง พร้อมจิบไวน์ไปด้วย มื้อนี้เลยเป็นมื้อที่ใช้เวลาในการกินนานเกือบ3ชั่วโมงเลยทีเดียว ฮ่าๆแต่ก็ถือว่าอร่อยสมคำร่ำลือมากมาก หลังจากกินเสร็จเราก็เลือกที่จะเดินเล่นรอบๆเมืองเหมือนเดิม วันนี้เราอยากไปเดินห้าง เพราะอยากรู้ว่าห้างเขาเป็นยังไง และที่สำคัญมีอะไรให้ช้อปบ้าง มีอะไรเซลล์บ้างรึป่าว ห้างที่เราไปคือ Mall of Berlin เป็นห้างที่รวมสินค้าแบรนด์ไว้หลายๆแบรนด์
MALL OF BERLIN
หลังจากที่เราเดินเล่นในห้างและช้อปแบบเต็มที่แล้ว ก็ได้เวลาของมื้อเย็นแล้ว แต่เรายังรู้สึกอิ่มอยู่เลย เราเลยเลือกไปเดินตลาด Street Food เพราะอยากกินแบบนิดๆหน่อยๆ จุบจิบๆ ตลาดชื่อว่า wochenmarkt berlin เป็นแหล่งรวมของกินเกือบทุกชาติ เอเชีย ฝรั่ง มาหมด อาหารไทยเราก็มาขายนะจ้ะ ราคาก็ตามค่าครองชีพ ฮ่าๆ ชอบตลาดแบบนี้มากเพราะว่ากินได้หลากหลายดี ของคาวก็มี ของหวานก็มา เบียร์ ไวน์ มาที่เดียวมีครบทุกอย่าง
บรรยากาศในตลาด สะอาดมากมาก
หลังจากลองชิมมันเกือบทุกอย่างแล้ว หนังท้องตึงหนังตาหย่อนทันที รีบกลับโรงแรมไปนอนกันดีกว่า
DAY 3 Go to Potsdam
วันนี้เราจะออกนอกเมืองกันสักหน่อย ไปเที่ยว Potsdam กัน พ็อทซ์ดัมเป็นที่รู้จักจากการเป็นที่ประทับของกษัตริย์ปรัสเซียหลายพระองค์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ส่วนตัวเมืองประกอบไปด้วยทะเลสาบเชื่อมต่อกันเป็นจำนวนมาก และมีภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะสวนและพระราชวังซ็องซูซีซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี เมืองนี้น่ารักมาก เมืองสวยและน่าอยู่มาก เราเดินดูรอบเมืองก่อนที่จะไปเยี่ยมชมพระราชวัง
เด็กๆและคุณครูกำลังเล่นวิ่งไล่จับกันแบบสนุกสนาน น่ารักสุดสุด
ตึกสวยมากกกกกกก มีความโทนเดียว
เที่ยงเราแวะกินข้าวที่ร้าน Movenpick Restaurant เพราะร้านนี้อยู่ใกล้กับพระราชวังซังส์ซูซีที่เราจะไปถ่ายรูปกัน
มันฝรั่งและเห็ดแชมปิญอง
หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาไปพระราชวังที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ พระราชวังซังส์ซูซีเป็นอดีตพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซียตั้งอยู่ที่เมืองพอทสดัมในประเทศเยอรมนี สร้างโดยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรีดริช วังซังส์ซูซีมักได้รับการเปรียบให้เป็นคู่แข่งของพระราชวังแวร์ซายส์ในประเทศฝรั่งเศส แต่ซังส์ซูซีมีลักษณะที่เป็นส่วนตัวแบบโรโคโคและเล็กกว่าพระราชวังแวร์ซายส์ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกมาก ที่นี่สวยมากกกกกกกก ทั้งข้างในและข้างนอก ตอนเราเดินเข้าไปข้างในพระราชวัง เขาจะถามเราว่าเราเป็นคนประเทศอะไร เขาจะให้หูฟังแบบแปลภาษาให้เรา อย่างเราเป็นคนไทย เขาจะให้เราฟังเป็นภาษาอังกฤษ ในนั้นจะเล่าประวัติความเป็นมาของแต่ละห้อง ได้ความรู้แบบเยอะมาก เยอะมากมาก อินสุดอะไรสุด พระราชวังซังส์ซูซีและอุทยานได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1990 ภายใต้ชื่อว่า “พระราชวังและสวนแห่งพอทสดัมและเบอร์ลิน” หลังพระราชวังจะมีอุทยานกว้างมาก ร่มรื่นมาก สวยมากจริงๆ
ชุดเท่จัง
อลังการ ยิ่งใหญ่ สวยงาม
ทองอร่ามเหลือเกิน
ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดได้ยังไงเลย อยากให้ทุกคนไปเห็นด้วยตาตัวเอง
อุทยานหลังพระราชวัง กว้างใหญ่เหลือเกิน
พระราชวังแบบเต็มๆ
หลังจากเยี่ยมชมกันแบบเต็มๆวัน ได้เวลาเดินทางกลับไปเบอร์ลินเพื่อไปกินข้าวเย็น เรากินที่ Brauhaus Lemke am Alex ร้านอยู่ใกล้ๆกับ TV tower เราจะมากินไส้กรอกเยอรมัน มาเยอรมันทั้งทีขอลองหน่อย ร้านนี้ให้ใหญ่มากกกกก กินไม่หมดเลยจ้า หลังจากกินเสร็จ เราจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกันบน TV tower เราจะขึ้นไปจุดสูงสุดเพื่อดูความสวยของเมืองเบอร์ลินกัน
หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ หรือ TV tower อันโดดเด่นใน Alexanderplatz แลนด์มาร์กอันเป็นเอกลักษณ์ของกรุงเบอร์ลินนี้สูงเสียดฟ้าถึง 368 เมตรและนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเยอรมนีด้วย ที่จุดชมวิวของหอนี้สามารถเห็นวิว 360 องศาเลยทีเดียว
นี่คือพิซซ่าหน้าแซลมอน แป้งบางกรอบ อร่อยสุดสุด
ไส้กรอกยาวและใหญ่มาก!!!!
นี่ตั๋วขึ้นจุดชมวิว
ขึ้นไปเล้ยยยยยยยย
พระอาทิตย์ตกดินแล้วววววววววว
มีห้องอาหารด้วย ตรงที่นั่งมันจะหมุนแบบช้าๆ เราสามารถกินไปด้วยพร้อมชมวิวแบบ 360องศา
TV tower ตอนกลางคืน สวยง่ะสวย
DAY 4 Go Go Germany
วันนี้เราเลือกจะนอนตื่นสายสักหน่อย เพราะไม่ได้มีแพลนไปไหนเลย ฮ่าๆ แค่อยากไปช้อปปิ้งกรุบกริบ พอกินข้าวเสร็จก็เลยไป Mall of Berlin เหมือนเดิม ไปซื้อของฝาก ซื้อเสื้อ หาของกินเพลินๆ
รวมตระกูลเบอรี่
เที่ยงเราไปห้าง BIKINI House Berlin เพื่อไปกินข้าวเที่ยงกัน ซึ่งที่นี่เป็นต้นแบบห้างแห่งแรกของเยอรมันด้วย ความพีคของห้างนี้คือ ตัวห้างติดกับสวนสัตว์!! เกร๋อะ เราจะสามารถเห็นลิง เห็นนก ผ่านกระจกจากห้างกันได้เลย
กระจกเห็นสวนสัตว์ได้เลยอ่ะ เกร๋จริง
ซึ่งละแวกของห้างนี้เดินไปอีกหน่อยจะเป็นถนนแหล่งช้อปปิ้งที่สาวๆต้องชื่นชอบแน่นอน สวรรค์ของนักช้อป เพราะทั้งถนนมีร้านแบรนด์มากมาย เลือกเข้าไม่ถูกเลย ฮ่าๆ เราช้อปปิ้งกันแบบจุใจ กระเป๋าตังค์แบนกันเลยทีเดียว แต่เย็นนี้เรามีนัดสำคัญ คือการไปดูบอลโลก!!! เยอรมันแข่งกับสวีเดนพอดี ซึ่งมาถึงเยอรมันทั้งทีก็ต้องดูบอลโลกกับบรรยากาศของเขากัน ตื่นเต้นไปหมดแล้วเนี่ย ซึ่งร้านที่เราจองไว้ชื่อว่า BRLO ร้านนี้เขาผลิตเบียร์ของเขาเองด้วยนะ ร้านก็น่ารักมาก คนมาดูบอลก็ดี ฮ่าๆ (แอบชอบเป็นการส่วนตัว) โชคดีมากที่วันนั้นเยอรมันชนะ เราเลยได้บรรยากาศแบบฉลองชัยชนะ เสียงดีใจที่ดังมากมาก มันทำให้เราอิน เหมือนเป็นคนเยอรมันไปด้วยเลย
คนเริ่มมากันแล้วววววว
เบียร์ ของว่าง มาสั่งกันตรงนี้ได้เลย
เยอรมันทีม
สวีเดนทีม
ลุ้นชัยชนะ 2-1 เยอรมัน-สวีเดน
หลังจากเชียร์บอลกันเสียงแหบเสียงแห้ง กระโดดดีใจจนปวดขาไปหมด ดีใจเหมือนตัวเองชนะ ก็กลับโรงแรมเพื่อไปนอนชาร์จพลังงาน ร่างกายต้องการพักผ่อน Zzzz
DAY 5 Feel like a local
วันสุดท้ายของเราที่เบอร์ลินแล้ว เราเลือกที่จะไป Spy มิวเซียม ซึ่งรวบรวมทุกอย่างที่สายลับในอดีตเคยใช้กัน ตอนเข้าไปเห็นตกใจมากเลยว่าที่เราเห็นในหนังในซีรีย์ มันมีจริงๆหรอเนี่ย ปืนในร่มเอย หรือปืนที่อยู่ในรองเท้าส้นสูงเอย ที่เราชอบที่สุดคือเราได้ลองเป็นสายลับเองด้วย มันจะมีห้องๆนึงที่จะมีสายสีเขียว สีแดง แบบถ้าเราไปโดนมัน มันจะร้องดังมากทั้งห้อง ตื่นเต้นมากบอกเลย ด้วยความที่เสื้อผ้าหน้าผมไม่พร้อม แต่ใจพร้อมมาก เลยทำให้เราผ่านมาได้แบบไม่ดังสักแอ้ะ ใช้เวลาไป 30 วิได้ นานกว่าเด็กๆอีก แต่สนุกมาก เราชอบมาก เราใช้เวลาอยู่ในนี้นานพอสมควร เพราะกิจกรรมเยอะ และยืนอ่านความเป็นมาของนักสืบแต่ละคน อ่านอุปกรณ์แต่ละอัน ใช้เวลาเกือบวันเลยทีเดียว อินอีกแล้ววววววววว
ตัวตึกเป็นแบบนี้
ตั๋วเข้า ประมาณ 9เหรียญ
ประวัติสายลับ นักสืบ ความเป็นมาของอุปกรณ์แต่ละอย่าง
แค่บันไดขึ้นก็เท่แล้ว
มีเกมส์ให้เราลองเป็นสายลับหลายเกมส์มากมาก
ยาพิษ ยานอนหลับต่างๆนาๆ
นี่คือห้องที่เราจะไปเป็นสายลับกัน เส้นเขียวเส้นแดง ถ้าโดนปุบห้องดังลั่นเลย
แต่เนื่องจากเป็นวันสุดท้าย เราเลยต้องไปกันต่อเราแวะร้าน berliner kaffeerösterei เป็นร้านที่มีชื่อเสียงมากของเบอร์ลิน ในร้านจะมีเมล็ดกาแฟเยอะมาก เหมือนเราสามารถเลือกได้ ว่าอยากได้เมล็ดกาแฟแบบไหน แล้วก็กดใส่ถุง เกร๋ดี แต่ที่เด็ดมาก ที่เราชอบมากที่สุดคือเค้กกับชา ที่นี่มีชาเป็น 100 แบบ ชาอูหลงก็แบ่งอีกเป็น 10อย่าง ชาดำ ชามะลิ เอวีติ่งชามากมาก ส่วนเค้กแบบโครตดี แบบดีมาก ชอบร้านนี้มากสุดๆ
รวมเมล็ดกาแฟ
ชาและเค้กกกกก ฟินนนนนนน
หลังจากนั้นเราไปตลาด Mauerpark market ตลาดนี้อินดี้มากของขายแบบอินดี้มีทั้งมือ 2และมือ 1 มีของกินด้วย และที่ชอบเลยข้างๆตลาดมีลานกว้างที่คนที่นี่มาทำกิจกรรมกัน ตอนแรกเราได้ยินเสียงกรี๊ดดังมาก มองไกลๆเห็นมีคนเล่นบาสนึกว่ามาดูนักบาสหล่อๆ แต่พอเดินเข้าไปเขามีร้องคาราโอเกะกันจ้า แบบน่ารักอ่ะ ชิลดีอ่ะ แบบใครอยากจะร้องก็ยกมือเดินออกมา แล้วทุกคนก็จะส่งเสียงเชียร์ บางคนออกมาเต้น ไม่ได้มีแค่คนมีอายุนะ วัยรุ่นก็แยะมาก แบบไม่น่าเชื่อที่วัยรุ่นทุกคนมารวมตัวกันแล้วแบบมานั่งดูคนร้องเพลงแบบนี้ได้ น่ารักจริงๆ
ฮิปๆ
มีของกินด้วย
ร้องคาราโอเกะ ชิววววว
เดินเล่นจนใกล้มืด หิวข้าวและ วันนี้มื้อสุดท้ายเราเลือกกินอาหารแบบอารบิก คล้ายๆอาหารอินเดียมั้ย ก็คล้าย แต่จะไม่เด่นเครื่องเทศขนาดนั้น มีความอร่อยแปลกดี อยู่ไทยคงไม่ได้กินอะไรแบบนี้ ร้านชื่อว่าCasalot ถ้าใครอยากลองชิม ลองเสิร์จหาชื่อร้านได้เลย รีบกลับไปนอนดีกว่าเพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องตื่นเช้ามากเพื่อไป สนามบินกัน
บรรยากาศร้านอารบิก
เนื้อวัว เนื้อแกะ รวมเนื้อ
DAY 6 Come Back Home
ได้เวลากลับบ้านแล้วววววววว ขากลับเราก็กลับสายการบิน Scoot เหมือนเดิม แต่เราเลือกนั่งชั้น Businessขากลับเพื่อความสบายของการนอนที่เพิ่มขึ้น ฮ่าๆ
เบาะนิ่ม พื้นที่กว้าง นอนหลับสบายมาก
ขอบคุณสายการบิน Scoot ที่พาเราบินลัดฟ้ามากรุงเบอร์ลิน และดูแลเราอย่างดีตลอดทั้งทริป และยังทำให้เราได้รู้เกี่ยวกับเบอร์ลินมากขึ้น ไม่ได้รู้แค่ว่ามีที่เที่ยวอะไร แต่ทำให้รู้ถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างมันเป็นอีกมุมมองนึงที่เราได้เห็นจากเมืองนี้ สำหรับเราเบอร์ลินเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มาก มีเอกลักษณ์มีความยูนีคเฉพาะตัว เกือบทั่วมุมเมืองมีเรื่องราว มีประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังมีสีสันของความเป็นเมืองแห่งการปาร์ตี้ เมืองแห่งกลางคืนที่แท้จริง สุดท้ายนี้ เราอินเบอร์ลินจริงๆ ยิ่งได้รู้ความเป็นมา เจอความน่ารักของผู้คน บ้านเมืองมีความอาร์ต ทำให้ประทับใจที่นี่มาก ถ้ามีโอกาสกลับไปอีกแน่นอน ถ้าใครที่ชอบเมืองที่มีความน่ารัก เมืองสวยถ่ายรูปตรงไหนก็ดี แหล่งรวมสตรีทอาร์ต หรือชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์ แนะนำให้เบอร์ลินเป็นอีกตัวเลือกนึงนะคะ โลกเรามันกว้างยังมีอีกหลายที่ที่รอให้เราไปพบไปเจอด้วยตัวเอง รีบเปิดปฏิทินแจ้งวันลา แล้วจองตั๋วเลยยยย ของจริงสวยกว่าเยอะ!