เดินเมืองโบราณ ฮอยอัน ชมสุสานกษัตริย์ เมืองเว้ หรือ นั่ง Cable Car ไปเมืองฝรั่งเศส บนเขา บาน่าฮิล
ทั้งหมดนี้คือเวียดนามกลาง กับการกำเงินแค่ 5000 -10,000 กว่าบาทก็ไปได้หมดอยู่ที่อยากอยู่ดีแค่ไหน
เวียดนามถือว่าเป็นประเทศเพือนบ้านที่มีสถานที่ ท่องเทียวสวยงามมากมายและในแต่ละภาคก็มีความสวยงามไม่เหมือนกัน และวันนี้เราจะพาไปเวียดนามกลาง เป็นที่อีกที่ที่มีความสวยงามมากมายไม่แพ้ภาคอื่นๆ เลยไม่ว่าจะ ฮอยอัน เมืองที่น่ารักสุดๆ เป็นเมืองมรดกโลก ที่ฝรั่งเกาหลี มาเที่ยวกันเต็มเมืองไปหมด หรือจะเป็น เว้ ที่มีสุสาน สิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์เท่ๆ ให้เราได้ย้อนอดีตกัน และ ดานัง ที่ชายหาดให้ไว้พักตากอากาศกันอีก และเนื่องด้วย AirAsia เปิดรูทบินตรงสู่ดานัง การเยือนที่นี่จึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย
ค่าใช้จ่าย (ไม่รวมตั๋ว ) 7600 บาท
ราคานี้คือเรานอนโรงแรมดี เหมารถส่วนตัวทุกวัน
กินอาหารดีทุกมื้อ
ค่าเข้าสถานที่ : 2100
ที่พัก4คืน : 2000
กิน:1500
ค่ารถเหมา : 2000
(รถเหมาที่เวียดนาม ต้องจ้างพร้อมคนขับเท่านั้นเราขับเองไม่ได้ สามารถ Search ใน google ได้เลยว่า
รถเช่า ดานังมีหลายเจ้ามาก แล้วให้เอาโปรแกรมที่ต้องใช้รถให้เค้า ส่งEmail ให้เค้าแล้วให้เค้าตีราคากลับมา
แล้วค่อยเลือกก็ได้ครับ )
Go To Danang
วันแรกของการเดินทางเรานั่งเครื่องบินไฟลท์ 11 โมงครึ่งมาถึงที่ดานังตอนเที่ยง ต้องบอกเลยว่าสนามบินที่ดานังดูดีมากพอเรามาถึงหลังจากรับกระเป๋าแล้วก็ทำการซื้อซิมการ์ดซึ่งเราซื้อของเวียตเทลราคา 6 ดอลล่าร์ได้ 10 GB
ใช้ได้ประมาณ 10 วัน หลังจากรับซิมเสร็จเราก็ไปหารถที่เราจองผ่านเอเจนซี่เอาไว้ เค้าก็จะมารับถือป้ายรออยู่ข้างหน้าเลย แล้วเราจึงขึ้นรถเข้าไปในตัวเมืองฮอยอัน วันแรกเราจะไปพักที่ฮอยอันเลยเพราะหอยอันอยู่ไม่ไกลจาก ดานังมากประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้ว
ตุนกระเพราก่อนเดินทางเช่นเคย
Hoi An Ancient Town – UNESCO World Heritage Centre
หลังจากมาถึงที่ฮอยอันคืนแรกเราพักที่ Long Life Riverside ซึ่งที่พักอยู่9ติดกับริมแม่น้ำของเมืองโบราณที่นี่เลยเรียกว่าเป็นจุดท่องเที่ยวที่ผมแนะนำว่าถ้ามานอนฮอยอันให้ดูจากสะพานญี่ปุ่นเป็นเซ็นเตอร์แล้วจองที่พักรอบๆบริเวณนั้น
ที่พักถือว่าโอเคเลย กำลังดีที่สำคัญหน้าที่พักกลางคืนคึกคักมาก
![]()
มาถึงตอนแรกตอนกลางวันจะดูเงียบมากแต่พอเริ่มเย็นเท่านั้นแหละคนแห่แหนมาจากไหนก็ไม่รู้เต็มไปหมดอารมณ์เหมือนวันนี้มีงานลอยกระทงกันเลยทีเดียวเชียวล่ะคุณผู้ชม เสน่ห์ของฮอยอันคือการที่มันเป็นเมืองเก่าๆที่เขายังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้เหมือนกับสมัยก่อนแล้วรอบรอบตัวเต็มไปด้วยบาร์ร้านอาหารคาเฟ่น่ารักน่ารักเต็มไปหมด
มาถึงตอนแรกตอนกลางวันจะดูเงียบมากแต่พอเริ่มเย็นเท่านั้นแหละคนแห่แหนมาจากไหนก็ไม่รู้เต็มไปหมดอารมณ์เหมือนวันนี้มีงานลอยกระทงกันเลยทีเดียวเชียวล่ะคุณผู้ชม เสน่ห์ของฮอยอันคือการที่มันเป็นเมืองเก่าๆที่เขายังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้เหมือนกับสมัยก่อนแล้วรอบรอบตัวเต็มไปด้วยบาร์ร้านอาหารคาเฟ่น่ารักน่ารักเต็มไปหมด
ที่นี่จึงได้ขึ้นชื่อเป็นมรดกโลกของยูเนสโกเลย และ ที่สำคัญนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นชาวต่างชาติเป็นฝรั่งชาวยุโรปแล้วก็ที่ได้เห็นเยอะเลยก็คือชาวเกาหลีใต้นั่นเอง ต้องบอกว่าใครที่มาที่นี่แล้วอยากเจอเพื่อนชาวต่างชาติรับรองได้ว่าคุณไม่ผิดหวังแน่นอนเพราะที่นี่มีชาวยุโรปเยอะมากมีทั้งบาร์ไอริช มีทั้งคนเกาหลีใต้เพราะฉะนั้นใครชอบอยากได้เพื่อนในใหม่คุณต้องมาที่นี่อย่างแท้จริง และที่สำคัญครับบรรยากาศในฮอยอันเนี่ยผมจะบอกได้ว่ามันเดินชิวมากและมันจะยิ่งชิวคูณสองครับอีกถ้าคุณมาในตอนที่อากาศเย็นครับเพราะต้องบอกก่อนว่าเวียดนามกลาง อากาศจะร้อนเหมือนเมืองไทยแต่ถ้าตอนหนาวๆเย็นๆเนี่ยอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20 องศาอันนั้นจะทำให้เรารู้สึกชิวแล้วมีความสุขมากส่วนเสน่ห์ฮอยอันเนี่ยมีทั้งช่วงเย็นแล้วก็ช่วงกลางวัน
หน้าตาตั๋วข้ามสะพาน
วันนี้เรามากินอีกร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านชากาแฟต้องบอกว่าร้านนี้เป็นร้านที่น่ารักมากๆเหตุผลเพราะว่าร้านนี้พนักงานบริการเป็นผู้พิการทางด้านการได้ยินทั้งหมด ตอนแรกก็งงว่าเข้ามาในร้านทำไมมีถึงการ์ดคำศัพท์วางไว้ที่แท้เลยเข้าใจว่าอ๋อ เค้ามีเอาไว้ใช้ให้เราเนี่ยสื่อสารกับพนักงานเสิร์ฟนั่นเอง ซึ่งต้องบอกว่าพนักงานเสิร์ฟที่นี่เค้าดูแลดีมากแล้วก็ตั้งใจมากๆด้วยถ้าใครชอบก็แวะมาได้ที่ Reaching Out Of Hear อ้อลืมบอกไปเวลาเราข้ามสะพานข้ามฝั่งเนี่ยเค้าจะมีตั๋วเก็บค่าข้ามด้วยถ้ามาตอนช่วงบ่ายๆเย็นๆ ก็จะจ่ายตังค์ 6 US ซึ่งใช้ได้หลายวันให้เก็บตั๋วไว้
แต่จากประสบการณ์ที่ผมไปพอตอนกลางคืนตอนคนเริ่มเยอะ เค้าจะไม่เก็บแล้วเพราะฉะนั้นถ้าใครเน้นประหยัด
จะออกมาตอนกลางคืนดูก็ได้เพราะว่าผมเห็นว่าเค้าปล่อยคนเดินผ่านได้เลยเนื่องจากคนเดินเยอะมากเหมือนมีงานเทศกาลตลอดเวลา
พนักงานกำลังใช้ภาษามืออธิบายวิธีการดื่มกาแฟ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งคือการล่องเรือในแม่น้ำนั่นเองซึ่งวันนั้นเราไปกันสี่คนเค้าจะล่องเรือประมาณ 20 นาทีค่าใช้จ่ายประมาณ 100,000 ด่องถึง 200,000 ด่องแล้วแต่เราตกลงแต่ให้ระวังให้ดีเพราะบางคนก็อาจจะมี การซิกแซ็กกับนักท่องเที่ยวได้ ผมแนะนำว่าให้คุณเนี่ยใช้มือถือถ่ายวิดีโอตอนตกลงเรื่องราคาให้เรียบร้อยก่อน
My Son Sanctuary
ส่วนวันที่สองเราตื่นเช้า และเช่ารถออกเดินทางไปที่โบราณสถานที่หนึ่งชื่อว่า My Son (หมีเซิน)
สถานที่นี้ต้องบอกเลยว่า เขาว่ากันว่ามาจากยุคสมัยที่ขอมเนี่ยมีอำนาจแล้วก็ขยายอาณาจักรเข้ามาในเวียดนามแล้วก็มาสร้างเป็นปราสาทเอาไว้ที่นี่ เค้าบอกว่าจริงๆแล้วที่นี่ยิ่งใหญ่พอๆ กับ นครวัด แล้วก็ นครธม เลย เพียงแต่ว่าสมัยก่อนเนี่ยในยุคสงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามใช้ที่นี่เป็นศูนย์บัญชาการ สุดท้ายก็เลยโดนทหารอเมริกาทิ้งบอมลง มาตรงนี้ทำให้ปราสาทพังเหลือประมาณแค่เล็กๆน้อยๆ แต่ก็ยังมีร่องรอยให้เราได้ชมกัน
เมื่อมาถึงเราก็ได้จ่ายค่าเข้า 150,000 ดอง หลังจากจ่ายค่าเข้าเสร็จ เดินเข้าไปแล้วจะมีรถกอล์ฟบริการอยู่ คุณสามารถนั่งรถเข้าไปเลย ผมแนะนำว่าให้นั่งเพราะถ้าเดินก็จะร้อนนิดนึง ส่วนข้างในเนี่ยก็จะมีโชว์พื้นเมืองของที่นั่นแล้วก็ถ้าโชคดีหน่อยจะเจอการทำพิธีของชาวจามปา
ส่วนด้านในก่อนถึงตัว โบราณสถานจะมีการแสดงน่าจะเป็นพื้อนบ้านของเวียดนามให้เราได้ชมกันด้วย ถือว่าโอเคครับดูเพลินๆ
ถ้าอยากถ่ายรูปสวยๆ แนะนำให้ซื้องอบมาใส่ได้ทั้งทริป แค่ใส่ก็รู้สึกว่าเป็นเวียดนามแล้ว
มีการแสดง น่าจะเป็นพิธีรำขอพรอะไรซักอย่าง
Non Nuoc Breach
หลังจากเสร็จจากตรงนี้เราจึงเดินทางกลับมาอีกทีนึงเพราะว่าเนื่องจากต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงจากเมืองหอยอันไปที่หาดหาดนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหาดที่สวยมากๆติดอันดับ ส่วนตัวจากที่เห็นนะครับต้องบอกว่าอาจจะไม่สวยเท่าที่พีคๆของไทยเช่นกระบี่หรือ เกาะต่างๆ แต่ดูโดยรวมแล้วก็ถือว่าดูดีกว่าพัทยาหรือหัวหิน
แล้วเป็นหาดที่กว้างมากบอกแก่การมาเล่นน้ำแล้วก็นั่งชิวนั่งพักผ่อน
ทะเลที่นี่เรียกว่า สะอาดมากๆ และก็หาดกล้างมากๆ เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง ถ้าได้มาอยากให้จัดเวลาแบบไม่เร่งรีบแล้วเสื่อมาปู จิบเครื่องดื่มชิวๆตรงนี้
ส่วนอีกส่วนหาดอีกด้านหนึ่งตรงหาดหมีเคเนี่ย
จะมีของกินเยอะมากสิ่งที่ต้องทำคือ การมาที่นี่คือการมากินอาหารทะเลซีฟู้ดเวลาคุณไปในร้านเนี่ยเค้าจะเอาของสดๆทั้งหมดเนี่ยอยู่ในตู้หน้าร้านหมดเลย หน้าที่ของเราคือ Shopping ครับชี้ว่าจะเอาอะไรไปทำกับข้าวอะไรแล้วจะบอกว่าทุกอย่างสดมาก หากใครชอบอาหารทะเลสดๆอร่อยสามารถมากินตรงนี้ได้ ต้องบอกได้ว่าในเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่ ต้องมา
ของจริงคือทั้งสด และขนาดใหญ่มาก
![]()
![]()
หลังจากเสร็จเราจึงเดินทางกลับไปที่ ฮอยอัน อีกครั้ง บอกเลยว่าบรรยากาศกลางคืน ฮอยอัน นี้เป็นเหมือนทั้งเมืองเต็มไปด้วยปาร์ตี้มีร้านหนึ่งที่เราแนะนำถ้าใครชอบเต้นหรือชอบเจอฝรั่งเยอะๆ หรือ เจอชาวเกาหลีใต้มาปาร์ตี้กันสนุกสนุกจะมีร้านหนึ่งชื่อว่า ไทเกอร์ไทเกอร์ อยู่ติดริมน้ำเลยซึ่งร้านนี้สนุกมาก สังเกตุดูคึกคักที่สุดแล้ว
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
อันนี้คือสะพานญี่ปุ่น 1 ในสุด Hilight ของฮอยอันเลย
HUE เว้
ส่วนเช้าวันนี้รถออกเดินทางไปที่ เมืองเว้ เว้เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่ากว่าจากบริเวณฮอยอัน เสน่ห์ของเมืองเวก็คือที่นี่เนี่ยเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามมาก่อน เพราะฉะนั้นที่นี่จะมีสุสานจักรพรรดิจะมีพระราชวังต้องห้ามที่ออกแบบมาตามจีนมาเลย ใครชอบประวัติศาสตร์ชอบสิ่งก่อสร้างโบราณๆ
ต้องมาที่เมืองเว้แบบเท่ๆ
Tomb of Khai Dinh
เมื่อเราเดินทางมาถึงที่แรกที่เราไปนั้นคือ สุสานจักรพรรดิไคดิงห์ ต้องบอกว่าที่นี่มีความยิ่งใหญ่อลังการและน่าเกรงขามมาก ถูกสร้างเอาไว้เพื่อเป็นสุสานให้กับจักรพรรดิ จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ก็คือ เป็นสุสานเดียวที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันตก โดยจักรพรรดิในราชวงศ์เหวียนพระองค์เดียวที่ได้เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส
ค่าเข้า 100,000 ดอง
Tomb of Minh Mang
ส่วนอีกที่หนึ่งก็คือเป็นสุสานจักรพรรดิอีกองค์หนึ่งชื่อว่า สมเด็จพระจักรพรรดิ มิญ หมั่ง การก่อสร้างสุสานแห่งนี้เริ่มขึ้น 1 ปีก่อนสิ้นพระชนม์และสำเร็จลงโดยพระเจ้าเถี่ยวตรี รัชทายาทของพระองค์ แต่เนื่องจากเรามาเย็นมากแล้วด้านใน มิญ หมั่ง จะปิดประมาณ 5 โมงเลยในสุดไม่ได้แต่สามารถถ่ายรอบรอบได้ต้องบอกเลยว่าสุสานนี้มีความยิ่งใหญ่แล้วก็สวยงามมากมีความผสมผสานของวัฒนธรรมจีนเข้าไปกับเวียดนามเลย
ค่าเข้า 100,000 ดอง
แล้วจริงๆใน เว้ ยังมีสถานที่เที่ยวอีกหลายที่อย่างใกล้ๆกันนี้ได้มีสุสานจักรพรรดิอีกทีนึงแล้วก็จะมีเจดีย์ที่สวยงามอีกที่หนึ่งซึ่งอันนี้เราไม่ได้ไปแต่รักใครมามีโปรแกรมหรือมีเวลามากกว่าสามารถแวะมาชมให้ครบได้
Hue Night time
เว้ ยามค่ำคืนเรียกได้ว่าคึกคักมากๆ เพราะจะมีทั้งร้านอาหาร และ บาร์ คาเฟ่ น่ารักๆ เท่ แนวๆ เรียกได้ว่ามีหมดที่นี่ ใครชอบร้านแบบนี้ ต้องลงมาเดินเลย เพราะเยอะมากๆจริง และเช่นเคยที่นี่ชาวต่างชาติเพียบ
Hue royal palace
ตื่นเช้าวันใหม่เนื่องจากเมื่อวานเราไปที่ พระราชวังเมืองเว้ ไม่ทันเราเลยเลือกไปตอนเช้าวันนี้แทนเนื่องจากมันปิดตอน 5 โมงครึ่ง พระราชวังเมืองเว้ เนี่ยรถจะเข้าไปไม่ได้ เราต้องจอดแล้วก็ผ่านประตูชั้นนอกชั้นในเข้าไป แต่ด้วยความที่เราตอนแรกคิดว่ามันน่าจะไกลก็เลยมีบริการเช่า รถถีบคือเป็นคนปั่นจักรยานให้เรานั่งสรุปก็คือเค้าก็จะพาเราชมบริเวณเมืองรอบๆ แต่ไม่เกี่ยวกับวังนะ( อ้าว ) ซึ่งใครอยากจะเก็บพวก detail ก็สามารถ สามารถใช้บริการได้ซึ่งเราเช่าสองคันต่อรองมาที่ราคา 500,000 ด่องแต่ส่วนตัวผมว่าไม่ต้องขึ้นก็ได้ยกเว้นใครอยากจะชิว เพราะว่าที่พาไปดูก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนพาชมชีวิตของผู้คนในบริเวณนั้นมากกว่า จริงๆสามารถเดินตัดเข้าไปในพระราชวังต้องห้ามได้เลยซึ่งที่นี่ก็จะมีค่าเข้าอยู่ที่ประมาณ 150,000 ด่อง
ซึ่งในบริเวณตัวพระราชวังออกแบบตามพระราชวังต้องห้ามของจีนที่นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวแห่แหนกันเข้ามาเพื่อจะถ่ายรูปกับความสวยงามของสถานที่แห่งนี้หลังจากเสร็จตรงนี้เราจะเดินทางกลับไปที่ดานัง
Bana Hills
แต่ก่อนจะไปถึงที่ดานังต้องบอกได้ว่านี่คือ. พีคที่สุดของทริปนี้คือเราจะขึ้นไปที่ บาน่าฮิล ต้องบอกเลยว่าเป็นหมู่บ้านฝรั่งเศสที่อยู่บนภูเขาสูงมากๆๆๆ คุณจะต้องขึ้นเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปประมาณ 15 – 20 นาที
ถ้าเข้าจะอยู่ที่ประมาณ 650,000 ด่องรวมทุกอย่างแล้วโดยตอนเราไปเนี่ยคนขับรถเราพาไปซื้อกับเอเจนซี่ตรงทางผ่านก่อนไปถึงที่โน่น ซึ่งอันนี้ผมไม่แน่ใจว่าซื้อที่โน่นจะถูกกว่าหรือเท่ากันหรือยังไง แต่เอาเป็นว่าเช็คราคาเรทก็ประมาณนี้ ส่วนบาน่าฮิล เมื่อมาถึงก็ต้องบอกว่าระหว่างทางที่เรานั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปบริเวณภูเขานั้นสวยมากๆ มีทั้งน้ำตกและที่สำคัญคืออากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเรากำลังนั่งกระเช้าย้ายจากเวียดนามไปสู่ฝรั่งเศส ส่วนข้างบนต้องบอกเลยว่าอากาศดีมากอุณหภูมิประมาณแค่ 20 องศาเท่านั้นเองเพราะฉะนั้นถ้าใครขี้หนาวอะไรต้องเตรียมเสื้อเผื่อมาด้วยซึ่งด้านบนจะเป็นสวนสนุกแล้วก็หมู่บ้านฝรั่งเศสจะบอกว่าที่นี่เนี่ยสมัยก่อนเคยถูกใช้สร้างเป็นบ้านพักตากอากาศของชาวฝรั่งเศสในตอนที่ชาวฝรั่งเศสเนี่ยมันมีอาณานิคมในประเทศเวียดนาม พอหลังจากที่ฝรั่งเศสแพ้สงครามก็ได้ย้ายออกไปสถานที่นี้จึงต้องถูกทิ้งร้างเอาไว้อย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้ายทางรัฐบาลของเวียดนามก็ได้บูรณะที่นี่ขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นสวนสนุกที่เป็นที่นิยมมากๆ โดยเคเบิลคาร์ใช้มาตรฐานเดียวกับยุโรปใช้บริษัทจากออสเตรเลียมาออกแบบให้ ซึ่งต้องบอกว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่ที่ต้องมา ถ้าหากคุณมาเยือนดานังเพราะข้างบนมีกิจกรรมให้ทำเยอะมากไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปคู่กับเมืองฝรั่งเศส หรือจะไปเล่นในสวนสนุกซึ่งมีเครื่องเล่นน่ารักๆหลายอันอาจจะไม่ได้หวือหวามาก แต่ก็ทำให้เราเพลินได้เลยทีเดียว และอีกอันนึงที่เราชอบมากๆคือนั่งรถรางที่เราสามารถบังคับได้ ซึ่งอันนี้แถวจะยาวเป็นพิเศษแต่ก็ได้ประสบการณ์ในการชมวิวสวยสวยจากบาน่าฮิล โดยเฉพาะถ้าเกิดว่าช่วงเย็นๆจะมีหมอกลงยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตะลุยอยู่ในดินแดนอะไรซักอย่างหนึ่งยังไงยังงั้นเลยเพราะฉะนั้นถ้าคุณมาเที่ยวบาน่าฮิลผมแนะนำว่าให้จัดเวลาไว้หนึ่งวันเลยอยู่ที่นี่ไปยาวๆจนเย็นๆยิ่งคนกลับ จะได้ถ่ายรูปสวยๆที่ไม่ติดคน
หลังจากเสร็จตรงนี้เราจึงกลับเข้าที่พักเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพใน Flight วันพรุ่งนี้ เพราะ AirAsia มีไฟท์บินกลับตอนเที่ยงตรงไปถึงกรุงเทพบ่ายๆ กำลังดีขับรถกลับจากดอนเมืองไม่ติดมาก
![]()
![]()
![]()
โรงแรมเราที่ดานัง อันนี้ดีเลยเล็กๆน่ารัก ตกคืนละพันบาท
คนขับของเราตลอดทริป
หลังจากขึ้นมาบนเครื่องเราได้ทำการบุ๊คกิ้งอาหาร แน่นอนฮะไม่ได้อยู่ไทยหลายวันก็ต้องคิดถึงอาหารไทยเป็นธรรมดาสุดท้ายขากลับขอซัดข้าวแกงเขียวหวานสักหน่อยอร่อยแบบไทยๆ ของเรานี่เองเพราะฉะนั้นใครสนใจอยากเที่ยวรูท นี้ผมบอกเลยว่า ค่าใช้จ่ายก็น้อยเดินทางสะดวกบินตรงกับแอร์เอเชียได้เลย มีทุกวันและที่สำคัญที่สุดเลยก็คือดานัง ฮอยอัน เว้ ถือว่าเป็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณควรมาเยือนสักครั้งกับเมืองมรดกโลกสวยๆ แบบนี้ไปดานังไปกับแอร์เอเชีย