2 วันใน โอซาก้า ไปเก็บ Landmark ล้วนๆ

0
4794

ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก หรือไม่ว่าครั้งไหนๆ “โอซาก้า” ก็ยังเป็นจังหวัดที่หลายๆคนเลือกที่จะไปเป็นอันดับต้นๆ สูสีกับโตเกียว ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเที่ยวสายไหน ทั้งสายวัด สายธรรมชาติ สายกิน สายถ่าย หรือสายฮิปสเตอร์ เมืองนี้ตอบโจทย์แน่นอน แล้วรอบๆเมืองโอซาก้ายังมีเมืองที่น่าเที่ยวอีกหลายเมืองที่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็น เกียวโต โกเบ นารา หรือวากายาม่า เรียกได้ว่าบินลงจุดเดียว เที่ยวได้หลายเมือง

มาดูที่มาที่ไปของเมืองนี้กันซักหน่อย โอซากะเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้สมญานามว่า ครัวของชาติเลยนะ ที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าข้าวของญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยเอโดะเลย และตอนนี้เป้นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่ใหญ่เมืองหนึ่งในญี่ปุ่น หูย

ที่นี่มีให้เที่ยวครบทั้งวัด ศาลเจ้า สวนสนุก พวกสถาปัตยกรรม แหล่ง Shopping จุใจมากๆ ส่วนเรื่องอาหาร จัดหนักจัดเต็มมีแต่ของอร่อยของขึ้นชื่อของเมืองทั้งให้ชิมทั้งกินเต็มไปหมด เรียกได้ว่ากินจนพุงกางไปเลยทริปนี้ เสน่ห์ของโอซาก้าแบบนี้แหละ ที่ทำให้เรามากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

ดู Vlog OSAKA : EP.1
ดู Vlog OSAKA : EP.2

ทริปนี้ เราบินกับนกสกู๊ต มีเที่ยวบิน บินตรงจากดอนเมือง-โอซาก้า อาทิตย์นึง มีตั้ง 6 เที่ยวเลยนะ และเค้ายังมีดอนเมือง-โตเกียว ที่บินทุกวัน เครื่องลำใหญ่เป็น โบอิ้ง 777 นั่งสบาย ไม่อึดอัด เหยียดขาได้สบายเลย และบินแต่ละรอบ ตรงเวลาตลอด ไม่ดีเล ไม่เท ดีตรงนี้แหละ ฮ่าๆ เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติม จิ้มได้ที่นี่เลย https://bit.ly/2OubOuz

#NokScoot #Bigbird #บินไกลสบายกว่าราคาคุ้ม

ที่นั่งกว้างสบาย อาหารอร่อย ครบจบ!

จะแนะนำวิธีเข้าเมืองจากสนามบินคันไซ สู่ตัวเมืองโอซาก้าซึ่งมีหลายทาง

  1. รถไฟ

ที่สนามบินคันไซรถไฟ มี 2 เจ้าหลักๆก็คือ ของเอกชนชื่อว่า Nankai(สีส้ม) และของรัฐบาลชื่อว่า JR (สีน้ำเงิน)

  • ถ้าเป็น JR จะแบ่งแยกอีกเป็น 2 แบบ ก็คือ
  1. JR Haruka Limited Express เป็นรถไฟด่วนพิเศษ มีที่เก็บกระเป๋า จะจอดแค่ 2 สถานีคือ สถานี Tenoji และ Shin-Osaka และสถานีถัดไปคือ สถานี Kyotoเลย
    ส่วนใหญ่จะลง Shin-osaka หรือตัวเมืองโอซาก้ากัน ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ( 2,800 เยน)

2. JR Kansai Rapid Train ก็คือรถไฟธรรมดาที่วิ่งรับส่งเกือบทุกสถานีระหว่างทาง
รถไฟ Shin-osaka ใช้เวลา 75 นาที ( 1,400 เยน (ปี 2019)) และจากสนามบินคันไซ จอด Osaka ประมาณ 70 นาที ( 1,200 เยน)

  • Nankai
    1. Nankai Rapit เป็นรถไฟด่วนพิเศษของเอกชน เป็นแบบ Reserved มีอาหารขาย มีห้องน้ำ และมีที่ว่างกระเป๋าด้วย จากสนามบินคันไซ ไปลงสถานี Namba ตัวเมืองโอซาก้า ประมาณ 40 นาที (1,430 เยน)

    2. Nankai Airport Express รถไฟแบบด่วนธรรมดา จะคล้ายกับกับรถไฟด่วนธรรมดาของ JR  คือจะจอดหลายสถานีที่ผ่าน จึงใช้เวลานานกว่า แต่ราคาถูกกว่าด้วยเช่นกัน  มีที่ขายอาหารเครื่องดื่ม มีห้องน้ำ และมีที่ว่างกระเป๋า จากสนามบินคันไซ ไปที่สถานีรถไฟ Namba หรือตัวเมืองโอซาก้า ใช้เวลาประมาณ 45 นาที

2. เข้าเมืองโดย Bus

เรียกว่า Airport Limousine bus จะสะดวกกว่าเพราะไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงบันไดมากเท่ารถไฟ แต่จะใช้เวลานานกว่ารถไฟ เพราะเผื่อรถติด จากสนามบินไป สถานีรถไฟ Osaka ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงถึงชั่วโมงกว่า ราคาประมาณ 1,300 เยน

3. Taxi

วิธีนี้สะดวกสุด คนก็นิยมกันแต่ว่าค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างแพง ส่งได้ถึงหน้าประตูโรงแรมได้เลย สามารถเรียกหน้าสนามบินได้เลย

หลังจากที่ได้วิธีเข้าเมืองกันมาคร่าวๆแล้ว ไปดูจุดเช็คอินที่เราไปกันในทริปนี้กันดีกว่า เริ่มต้นด้วย

ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) และชินไซบาชิ (Shinsaibashi)

ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) และชินไซบาชิ (Shinsaibashi)

ถ้าให้พูดถึงย่านที่มีชื่อเสียงที่สุดในโอซาก้า ก็คงจะหนีไม่พ้นย่านนี้แน่ๆ เพราะเป็นแหล่งทั้งร้านค้าหลายแบรนด์ จนช้อปกันไม่หวั่นไม่ไหว ส่วนเรื่องของกินไม่ต้องพูดถึง เยอะแยะเต็มไปหมด จนเรียกได้ว่าใช้เวลากินให้ครบทุกร้านก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันไปแล้ว

สิ่งที่ต้องไปทำเมื่อมาถึงย่านนี้คือ ต้องไปถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะก่อนเลย ใครๆเค้าก็ถ่ายกัน จะถ่ายแบบปั่นๆก็ได้ ตอนกลางคืนตรงจุดนี้เค้าจะเปิดไฟ ก็ได้อีกฟีลนึงเลย และอีกจุดนึงที่เราต้องถ่ายก็คือ ร้านปู Kanidoraku มีปูยักษ์จำลองอันอย่างใหญ่

มาดูประวัติของย่านนี้กันหน่อยดีกว่า ชื่อของ Dotombori (คลองโดทม) มาจากชื่อของนาย Yasui Dotom เขาเป็นพ่อค้าชาวโอซาก้า เค้าได้บริจาคเงินส่วนตัวขุดคลองขึ้นเมื่อ ค.ศ.1612 และในสมัยเอะโดะ (ค.ศ.1603-1867) ได้ปรับปรุงเมืองใหม่ ทำให้มีโรงละคร และโรงน้ำชา อยู่ทางตอนใต้ของคลอง Dotombori เลยทำให้ย่านนี้คึกคักมาตลอดตั้งแต่สมัยนั้น ตามมาด้วยร้านอาหารที่ทยอยเปิดเต็มไปหมด

แต่พอมาปัจจุบัน เหลือโรงละครอยู่ไม่กี่โรงแต่ยังมีร้านอาหารมากมายอยู่ ร้านค้าแบรนด์ต่างๆก็ทยอยเปิดมากขึ้น ใครขาช้อปต้องห้ามพลาดที่นี่เลยนะ ยังไงก็ต้องมา

วิธีการไป : ลงสถานีรถไฟใต้ดิน Namba Station. มาได้จากสาย Midosuji Line, Sennichimae Line, Yotsubashi Line Kintetsu Line และ Nankai Line จะถึงเหมือนกันหมด

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.dotonbori.or.jp/ja/

วัดชิเท็นโนจิ (Shitennoji Temple )

ที่ต่อมาเรามากันที่วัด วัดชิเท็นโนจิ (Shitennoji Temple ) เป็นวัดพุทธ ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น อยู่ย่านเทนโนจิ (Tennoji) วัดนี้สร้างในปี ค.ศ. 593 ประมาณ 1,400 กว่าปีที่ผ่านมา 

อีกฝั่งของวัดจะเป็นสุสาน เราผ่านที่นี่ก่อนถึงวัด

ที่วัดนี้มี ตลาดนัดชื่อว่า Flea market Shitennoji Temple

อยู่ตรงบริเวณลานหน้าวัด มีตลาดนัดขายของกิน ของใช้ ของทำมือ มีร้านเป็นร้อยร้าน ร้าน โดยเค้าจะจัดในวันที่ 21-22 ของทุกเดือน เวลา 8.30-16.00 น.

วิธีการไป ถ้า JR ลงที่สถานี JR Tennoji Station ส่วนถ้าไป Subway ลงที่สถานี Shitennoji-mae-Yuhigaoka Station

ย่านชินเซไก(Shinsekai) 

ย่านนี้ นับเป็นอีกย่านหนึ่งที่เป็น Landmark ของโอซาก้า ชื่อ ชินเซไก แปลว่า ” โลกใหม่ ” จุดที่ต้องไปถ่ายรูปแน่ๆก็คือ หอคอยซึเทนคาคุ(Tsutenkaku) ใครจะมาย่านนี้แนะนำให้มาตอนฟ้ามืดไปแล้ว คุณจะเห็นแสงสีเสียง เปิดไฟ ถ่ายรูปสวยมาก

บริเวณนี้ยังมีถนนแคบๆที่เรียกกันว่า จันจัน โยโกะโช (Jan Jan Yokocho) ที่เป็นแหล่งรวมร้านกินดื่มของคนที่นี่ มีทั้งขนม กับแกล้ม ให้ลองชิมเยอะมาก และที่เราสังเกตุคือเราจะเจอ เจ้าลิงนั่งยิ้ม น่ากวนๆเล็กๆ แม้แต่ขนมบางร้านยังเป็นรูปเจ้าตัวนี้เลย ไปสืบมาชื่อว่า บิลลิเคน(Billikan) เป็นเทพแห่งโชคลาภ ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของย่านนี้เลยนะ

วิธีการเดินทาง : สถานี Ebisucho Station สาย Osaka Metro Sakaisuji Line หรือว่ามาที่สถานี Dobutsuen-mae Station บนสาย Osaka Metro Sakaisuji Line หรือ Midosuji Line

Osaka Castle (ปราสาทโอซาก้า)

ที่นี่ก็เป็นอีกจุด Landmark หลักที่ใครๆต้องมาเยือนที่นี่

Osaka Castle อยู่ใจกลางเมืองโอซาก้าเลย ตั้งอยู่ตรงบริเวณของวัด Ishiyama Honganji สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1583 และ ปราสาทนี้ถูกทำลายตอนเกิดสงคราม “The Summer War in Osaka” เมื่อปี เมื่อปี ค.ศ. 1615 และหลังจากนั้นเค้าก็บูรณะขึ้นมาใหม่ เค้าใช้เวลาเกือบ 10 ปีเลยนะ แต่เคราะห์กรรมยังไม่หมด เกินฟ้าผ่า และไฟไหม้ปราสาทอีกรอบและทุกอย่างพังหมด

และนี่เป็นการสร้างรอบที่ 3 ละ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็โดนระเบิดเสียหายด้วย ปี 1945 และในที่สุดปี ค.ศ. 1997 ถึงตอนปัจจุบัน ปราสาทได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้ให้คนได้ชมกัน
ตัวของปราสาทมี 5 ชั้น แต่ภายในมีทั้งหมด 8 ชั้น

เจ้าน้องตัวนี้เราเจอมาตั้งแต่สมัย 2 ปีที่แล้วที่เรามาโอซาก้า มาทริปนี้ก็ยังเจออีก จำได้ว่าเป็นตัวเดิมเพราะน้องชอบยกขามาวางไว้บนตักคนที่มาเอ็นดูน้อง และจำคุณลุงเจ้าของคนจูงได้ว่าคือคนเดิม

ถ้าใครที่มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เราจะเจอความส้มแดง ถ่ายรูปสวยมาก หรือถ้าใครมาช่วงซากุระ ทั้งสวนตรงปราสาทโอซาก้าจะเต็มไปด้วยดอกซากุระบานสะพรั่ง

มาดูฤดูของโอซาก้าว่าฤดูไหนน่าเที่ยวบ้าง

Winter ธันวาคม – กุมภาพันธ์ เราเจอไปในเมืองช่วงเดือน มกรา ต่ำสุด 0 ยังเจอเลยนะ หาเสื้อกันให้ดี บางปีหนาวมากบางปีหนาวน้อย เตรียมเสื้อหนาๆกันไว้ให้ดี

Summer ช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม แต่ถ้าเป็นช่วงกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคมละก็ อย่าลืมพกร่มใส่กระเป๋าติดตัวไปด้วย

Spring ช่วงเดือน มีนาคม – พฤษภาคม เราจะเห็นดอกซากุระบาน ยิ่งรอบๆปราสาทโอซาก้านะ สวยมาก

Autumn ช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน อากาศจะเย็นสบายๆ ชิวๆ ถ่ายรูปสวยเพราะใบไม้จะแดง

และแล้วก็ได้เวลาบินกลับไทยกันแล้ว อย่างที่บอกกันในตอนแรก เราบิน

กับนกสกู๊ต มีเที่ยวบิน บินตรงจากดอนเมือง-โอซาก้า อาทิตย์นึง มีตั้ง 6 เที่ยว และเค้ายังมีดอนเมือง-โตเกียว บินทุกวัน เครื่องลำใหญ่เป็น โบอิ้ง 777 นั่งสบาย ไม่อึดอัด เหยียดขาได้สบายเลย ไม่ดีเล ลองเข้าไปดูกันได้ที่นี่ https://bit.ly/2OubOuz

ไว้เจอกันใหม่ทริปต่อไป ฝากติดตามกันด้วยนะฮะ

#NokScoot #Bigbird #บินไกลสบายกว่าราคาคุ้ม