PARIS เรียกได้ว่าเป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคนตั้งแต่เด็ก รวมถึงเราด้วย ภาพหอไอเฟลที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะภาพวาดหรือรูปถ่าย มันทำให้เราคิดไว้ว่าสักครั้งต้องมาปารีสให้ได้
แต่ว่าปารีสไม่ได้มีแค่หอไอเฟลอย่างที่ตอนเด็กเราคิดหน่ะสิ ในเมือง ทุกอย่างหรูหรา สถาปัตยกรรมที่เราเห็น อลังการงานสร้าง ไม่ว่าจะเป็นตึกราบ้านช่อง หรือทีเด็ดที่เป็นแลนด์มาร์กของปารีส นั่นก็คือ พระราชวังแวร์ซาย ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพระราชวังที่อลังการที่สุดในโลก
และเชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วต้องเคยเห็นรูปโมนาลิซ่าผ่านตากันบ้างแหละ ของจริงต้นฉบับอยู่ในปารีสนี่เอง ที่ Louvre Museum แล้วถ้าย้อนไปยุค 90s มีหนังเรืองนึงที่โด่งดังสร้างชื่อมากๆในยุคนั้น ชื่อว่า Moulin Rouge ต้นฉบับที่แท้จริงอยู่ในปารีสอีกด้วย
และถ้าให้พูดถึงเรื่องของกิน มีเมนูนึงที่ต้นฉบับมากจากฝรั่งเศสเลย ฟังดูอาจจะแปลกๆหน่อย แต่ที่นี่นิยมมากและมากที่สุดในโลกด้วยนะ นั่นก็คือ หอยทาก หรือเอสคาโก้ (escargot) เป็นเหมือนเมนูเรียกน้ำย่อย เดี๋ยวเราจะแนะนำร้านที่เก่าแก่ที่สุด ใครมาสักครั้งอยากให้ลองว่ามันเป็นยังไง

Paris (ปารีส) หนึ่งในมหานครที่ใครหลายๆคนบอกว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุด และเราเชื่อว่าน่าจะเป็นหนึ่งใน Bucket list ของเมืองที่ต้องไปสักครั้งในชีวิตของใครหลายๆคน
เมืองนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ภายในปารีสมีประชากรประมาณ 2 ล้านกว่าคนละ ซึ่งตอนนี้ มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 30 ล้านคนต่อปีเลยนะ
ไปดูกันว่า ก่อนจองตั๋วไปปารีส เราต้องเตรียมตัวกันอย่างไรบ้าง
FLIGHT เราบินการบินไทย บินตรงไปลง ปารีสเลย มาลงที่สนามบิน Charles de Gaulle Airport (CDG) เค้ามีบินลงทุกวัน ขาไปเราบินลงปารีส แต่ขากลับเรากลับจากมิวนิค เยอรมัน ตอนนี้ถ้าเป็นยุโรป มี 13 จุดหมายปลายทาง และที่เราชอบคือ สายการบินไทย ก็ต้องได้กินอาหารไทย! ที่นั่งสบาย แอร์น่ารัก
ตามดูตามนี้เลย https://www.thaiairways.com/
ที่เราชอบในสายการบินนี้ก็คือ อาหารอร่อย มีอาหารไทยให้เลือกด้วย เบาะนั่งสบายเพราะเราต้องนั่งประมาณ 12 ชั่วโมงเลยนะ
มีปลั๊ก ดูหนังอิ่มๆไปเลย เวลาดี ถึงตอนเช้า ตื่นมาพร้อมเที่ยวต่อ
VISA เราขอวีซ่าเชงเก้นของ France ถ้าใครไปหลายประเทศ ให้ทำวีซ่าประเทศที่เราอยู่นานที่สุด เค้าว่ากันว่าถ้าดวงดีของวีซ่าฝรั่งเศสจะได้วีซ่ายาวกว่าไปขอที่อื่น แต่ก็แล้วแต่ดวงอยู่ดีแหละ เราไปทำที่ TLS สะดวก แต่อาจจะจ่ายแพงกว่าไปยื่นที่สถานฑูตเอง สะดวกกว่า ลองดูLink นี้เลย https://fr.tlscontact.com/th/BKK/index.php
Transportation
การนั่งรถไฟจากสนามบินเข้าเมือง
การเดินทางเข้าเมืองปารีสหลายวิธีแต่เราจะมาแนะนำวิธีที่สะดวก
1. รถไฟ RER สาย B สีฟ้า เป็นรถไฟวิ่งรับส่งระหว่างสนามบินเข้าไปที่ตัวเมืองปารีส จะจอดไม่กี่สถานี ซื้อตั๋วแล้วเข้าไปนั่งได้เลย มีที่วางสัมภาระให้ เราลงสถานีปลายทางในตัวเมืองปารีส ก็คือสถานีรถไฟ Châtelet – Les Hallesจากนั้นไปต่อรถไฟใต้ดิน ใช้เวลาประมาณ 35 นาที ราคา 10.30 ยูโร สถานีจะอยู่ตรง Terminal 3
2. รถบัสสนามบิน จะวิ่งตรงรับส่งระหว่างกับตัวเมืองปารีส มีเวลาออกที่ชัดเจน มีที่วางสัมภาระ มี 2 เจ้าหลักๆก็คือ
Le Bus Direct สาย 2 ผ่านเข้ากลางเมืองปารีส
รัวซี่บัส(Roissy Bus) เป็นรถบัสที่วิ่งระหว่างสนามบิน กับอเปรา (Palais Garnier) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 75 นาที เราว่าวิธีนี้ก็สะดวกเพราะมีที่วางสัมภาระ ถ้าลงสุดสายก็ไปต่อรถไฟใต้ดินได้เลย การซื้อตั๋วก็ซื้อผ่านตู้ได้เลยด้วย
ส่วนภายในเมือง เราเน้นนั่ง Subway แต่บางเวลาถ้ามืดหรืออยากสะดวกหน่อยจะเรียก Uber เลย
Subway ที่สะดวกจะไปตั๋วเที่ยวเดียวที่เรียกว่า Ticket t + และแบบเหมา ตั๋วชุด 10 ใบ Carnet ที่เราใช้ประจำในแต่ละวัน
Ticket t + เป็นตั๋วเดินทางแบบเที่ยวเดียว ใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟ RER รสบัสประจำทาง Trams แต่ยกเว้นรถบัส Orlybus และ Roissybus และจำกัดอยู่ในโซน 1-2 เท่านั้น ราคา 1 ใบคือ 1.90 EUR และมีข้อจำกัดนิดหน่อยเช่น ใช้ในรถไฟฟ้าใต้ดินกับ RER ได้ภายใน 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ว่าถ้า ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินแล้วมาขึ้นรถบัส ก็ต้องซื้อใบใหม่ ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้นะทุกคน
ตั๋วกาเน่ (Carnet) ถ้าใครมาหลายๆคนแนะนำซื้ออันนี้เลยแบ่งกันใช้ได้ เป็นการซื้อแบบแพคเกจ คือซื้อทีเดียว 10 ใบเลยต่อชุดนึง ผู้ใหญ่ราคา 14.90 EUR เด็ก 4-9 ขวบ ราคา 7.45 EUR ใช้ได้เงื่อนไขแบบข้างบนเลย แต่ซื้อทีเดียวคุ้มกว่า ถ้าใครต้องอยู่ในปารีสหลายวันแล้วไปหลายที่ แนะนำแบบนี้คุ้มสุด แต่ระวังถ้าเอาไปใช้นอกโซนที่กำหนดแล้วเค้าตรวจเช็คจะเจอค่าปรับเยอะหลายเท่า ซื้อที่ตู้กดตั๋วในสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ซื้อบนรถบัสไม่มีขายน้า

Weather ฝรั่งเศสมีทั้งหมด 4 ฤดู
Spring (ปลายเดือนมีนาคม-เดือนมิถุนายน) อุณหภูมิประมาณ 10 -18 องศาเซลเซียส สบายๆเลยใส่โค้ทไม่ต้องหนามาก
Summer (เดือนกรกฎาคม – กันยายน ) กลางวันยาวมาก เราดันไปช่วงนี้พอดี พระอาทิตย์ตกตอน 4 ทุ่ม แม่เจ้า!! เที่ยวจนขาลากก็แล้ว ทำไมฟ้ายังไม่มิดสักทีห้ะ ฮ่าๆ ข้อดีคือได้เที่ยวแบบจุใจมากๆ แต่ อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 20 – 30 องศาเซลเซียส และขอบคุณครับเราไปช่วงที่ร้อนที่สุดในปีนั้นของปารีสเลย ขอบอกว่า เกือบ 40 หนักกว่ากรุงเทพเลยนะ
Autumn (ปลายเดือนกันยายน – ธันวาคม) ใบไม้เปลี่ยนสีถ่ายรูปสวยมาก โทนภาพจะละมุนไปหมด อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 18 องศาเซลเซลเซียส กำลังเย็นสบาย
Winter ( เดือนธันวาคม – มีนาคม) ประมาณ -1 – 5 องศาเซลเซียส ถ้าใครชอบความหนาว มาช่วงนี้เลย
EXCHANGE RATE ที่นี่เค้าใช้เงินยูโรกัน (EUR) ตอนนี้เรทอยู่ประมาณ 1 EUR=33.64 THB (Jan 2020)
Food อย่างที่บอกไปข้างต้น เมนูที่มาที่นี่แนะนำให้ลองสักครั้งคือ หอยทาก ฟังดูอาจจะเหยือยหน่อยแต่ มาแล้วสักครั้งอ่ะเนาะ ชื่อเมนูคือ (Escargot) เป็นเหมือนเมนูเรียกน้ำย่อย และคนที่นี่ชอบกินขนมปังมาก เราจะเจอร้านขนมปังกันตลอดทาง มีหลายรูปแบบด้วย ที่ดังและต้องมีทุกร้านคือ ครัวซ็อง (Croissant) อร่อยมาก เรารู้สึกว่ากินที่ฝรั่งเศสอร่อยและฟินกว่าที่อื่น
ทริปนี้เราอยู่ปารีส 3 วันแล้วย้ายเมืองไป สวิตเซอร์แลนด์กับเยอรมัน ไปดูแพลนกันเลย
Day 1 Cathédrale Notre-Dame de Paris/Panthéon/
Louvre museum/Café de flore
Day2 Castel cafe/Eiffel Tower (ตามล่าจุดถ่ายรูปหอไอเฟล)
Day3 Versailles Palace /Moulin Rouge/MONTMARTRE /
Le mur des je t’aime (300ภาษา) /
Place du Tertre / หอยทากร้าน L’Escargot Montorgueil /
Arc de Triomphe

ปารีส(Paris) เมืองหลวงของฝรั่งเศสที่ใครหลายๆคนจัดว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกเมืองนึงในโลก และเป็นเมืองที่เราวางไว้ว่า ต้องไปเยือนสักครั้งนึงให้ได้ เมืองสวยตั้งแต่ สถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์หลายๆที่ๆกระจายอยู่ทั่วเมือง เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่น่าค้นหา
เมืองนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส อยู่ใจกลางแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ ภายในกรุงปารีสมีประชากรประมาณ 2 ล้านกว่าคน
เราอยู่ปารีส 3 วัน ไปดูแพลนของเรากัน
Day 1 Cathédrale Notre-Dame de Paris/Panthéon/
Louvre museum/Café de flore
Day 2 Castel cafe/Eiffel Tower (ตามล่าจุดถ่ายรูปหอไอเฟล)
Day 3 Versailles Palace /Moulin Rouge/MONTMARTRE /
Le mur des je t’aime (300ภาษา) /
Place du Tertre / หอยทากร้าน L’Escargot Montorgueil /
Arc de Triomphe
Day 1 Welcome to Paris
หลังจากนั่งเครื่อง 12ชั่วโมงกว่าๆก็ถึง Charles de Gaulle Airport (CDG) นั่งรถไฟเข้าเมือง ตามวิธีด้านบนที่เราเขียนไป ที่แรกที่เราจะไปเยือนในปารีสก็คือ Pantheon
เป็นวิหารสีขาวที่ออกแบบโดยมีต้นฉบับเป็นแพนธีออนของกรุงโรม เป็นสภาปัตยกรรมแบบ Neo-classic ใครที่อยากจะเข้าไปชมต้องขึ้นบันไดถึง 200 ขั้น อยู่ตรงย่าน Latin Quarter ทิศใต้ของแม่น้ำ Seine
ตอนแรก Panteon สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโบสถ์ของ St. Genevieve จนสมัยนี้เป็นอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส และเปลี่ยนให้ใช้เป็นที่ฝังศพคนที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศ เช่น วอลแตร์,ช็อง ฌาค รุสโซ คนที่เป็นผู้ริเริ่มสัญญาประชาคม และมาดามมารีคูรี บุคคลแรกที่ได้รางวัลโนเบลสองสาขา และยังมีท่านอื่นๆอีกแต่ผมรู้จักไม่กี่ท่าน
พอมาถึงที่นี่ใหญ่อลังการกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ตัวคนเหลือจิ๊ดเดียวจริงๆ มีสองด้านนะ ลองเดินไปดูอีกด้าน อลังไม่ต่างกัน
สำหรับวิธีการมา Pantheon
-นั่งรถไฟใต้ดิน Metro มาลง สถานี Cardinal Lemoine
-รถบัสสาย 21 27 83 84 85
-รถไฟ RER สาย B มาลงสถานี Luxembourg
Louvre Museum
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของปารีสเลยนะ สร้างโดยพระเจ้าฟิลลิปที่ 2 ก่อนที่จะถูกขยายให้เป็นพระราชวังหลวง ตอนนี้พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ เก็บผลงานศิลปะมากกว่า 400,000 ชิ้นเลยนะแต่ นำมาโชว์ให้ดูแค่ 40,000 ชิ้น
พิกัด : https://goo.gl/maps/noS5Zt44vvYFd5xi9
วิธีการเดินทาง : ลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Palais Royal หรือรถBus สาย 21,24,27,68,69,72 หรือ 81
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวันแต่จะหยุดทุกวันอังคาร, วันคริสมาสต์ , วันที่ 1 มกราคม และ 1 พฤษภาคม
จุดนี้ก็คือจุดที่มาถ่ายรูปกันเยอะในพิพิธภัณฑ์ เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอังคารนะ
ดูราคาตั๋วได้ที่นี่เลย https://www.ticketlouvre.fr/louvre/b2c/index.cfm/calendar/eventCode/MusWeb
แดดค่อนข้างแรง เพราะเราไปช่วงที่ร้อนที่สุดของปารีส ที่เห็นอยู่เกือบจะ 40 องศาเลยนะ ไปดูที่ต่อไปที่เราจะไปกันเลยดีกว่า
ช่วงๆบ่ายแก่ มาแวะหนึ่งในคาเฟ่ที่คนรีวิวเยอะที่สุดในร้าน ชื่อว่า “Cafe de flore” ที่นี่เค้าจะมีทั้ง Indoor และ Outdoor ส่วนใหญ่เค้าจะจองข้างนอกกันได้บรรยากาศกว่า แต่ถ้าใครมาตอนเย็นต้องจองนะ เพราะว่าคนค่อนข้างเยอะเลย
ไปดูเว็บของทางร้านได้เลย https://g.page/lecafedeflore?share

รถไฟใต้ดินของปารีส หลายๆคนบอกว่า ต้องระวังภัยให้มาก ถ้าใครโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน หูตาต้องกว้างไกล ต้องระวังของมีค่าให้มาก บางสถานียอมรับว่าค่อนข้างเปลี่ยว แต่บางสถานีก็ปกติ


รีวิวที่พักของเรากันหน่อย เป็น Air bnb ชื่อว่า “Cmg Bnf III” ที่อยู่คือ 17 Rue Dumeril 75013 มี 1 ห้องนั่งเล่น 1ห้องครัว และ 1 ห้องนอน อยู่ห่างจากย่านใจกลางไปไม่มากนัก
ถ้าใครมาปารีสเราแนะนำให้จองห้องที่มีครัวนะ ข้อดีของการมีครัวก็คือทำให้เราประหยัดค่าอาหารไปได้หลายมื้อ เช่นมื้อเช้า เราก็ทำกินเองได้ชิวๆเลยแหละ
วันต่อมา เราจะตระเวนถ่ายรูปมุมต่างๆของ ขอไอเฟลกัน


จุดแรกตรงนี้ชื่อว่า Rue de l’université ข้างๆจะมีคาเฟ่ชื่อ Castel cafe อยู่ พิกัดตามนี้เลย
Location : https://goo.gl/maps/nq9KaPcv94ETirjh9

แวะจิบกาแฟสักแปปก่อนไปจุดต่อไป คาเฟ่ชื่อ Castel Cafe อาหารรสชาติเป็นยังไงไม่รู้เพราะพวกเราสั่งแต่กาแฟ ฮ่าๆ
จุดนี้เป็นจุดที่ขึ้นมาสถานี Champ de Metro – Tour Eiffel
ละเดินขึ้นมาเลยมุมเสย มุมเฉียงเก็บมาให้ครบ
มาต่อกันที่อีกจุด เดินห่างจากจุดก่อนหน้านี้ไม่มาก เป็นอีกจุดที่เราชอบมาก ชอบตรงมีม้าหมุนอยู่ข้างๆชื่อว่า Carousel of the Eiffel Tower
Location : https://goo.gl/maps/m36BdduKD5CR9R6U6
ถ่ายได้เห็นทั้งม้าหมุนทั้งหอไอเฟลเลย
มุมนี้ก็มุมในตำนานที่ใครๆต้องมาถ่ายตรงนี้ เป็นมุมบันได จุดนี้อยู่ตรง Palais de Chaillot
Location : https://goo.gl/maps/mccWpfRJGaFsnccPA ตามพิกัดมาโลด
พิพิธภัณฑ์ดอร์เซ่ (Musée D’orsay) เป็นหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆในโลกเช่นกันนะ อยู่ริมแม่น้ำแซนด์ (Seine) เดิมที่นี่เป็นสถานีรถไฟเก่า ชื่อสถานีดอร์เซ่ และต่อมาเค้าก็ได้ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปะนี่แหละ
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสายที่ 12 สถานีชื่อว่า Solférino หรืออีกทางคือ RER สาย C ลงสถานีชื่อ Musée d’Orsay เลยจะขึ้นมาหน้าทางเข้าเลย ใกล้กว่าแบบแรก
ที่ต่อไป ถ้าไม่ไปก็จะเหมือนมาไม่ถึงปารีสเนอะ ซึ่งก็คือ พระราชวังแวร์ซาย (Versailles Palace)
ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซาย ที่เป็นส่วนนึงของปารีส แต่ห่างจากตัวเมืองปารีสไปหน่อย ประมาณ 17 กิโลเมตร ในอาคารเป็นหินอ่อนสีขาว เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก บาโรคและรอคโคโค อลังมากจริงๆ งานละเอียดมาก ปราณีตทั้งแต่ทางเข้ายันทางออก
เค้าบอกว่าที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ศตวรรษที่ 17 และ 18 ข้างในมีถึง 700 ห้องเลยนะ มีรูปประมาณ 6,000 กว่ารูป และมีห้องนึงที่สำคัญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
ก็คือห้องที่ชื่อว่า Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors เป็นห้องที่ลงนามสัญญาสงบศึกระหว่างฝ่านสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมัน และพระราชวังนี้ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมด้วย
คนเยอะมากข้างใน แทบจะเบียดกันเลยช่วงที่เราไป แต่ถ้าจะมาที่นี่ ใช้เวลาประมาณครึ่งวันเลย สำหรับตั๋วเข้าชม เราแนะนำให้ซื้อทางออนไลน์ล่วงหน้าไปเลยนะ เพราะจะช่วยลดเวลาไปได้เยอะมาก ขนาดพวกเราซื้อไปล่วงหน้า ยังต้องต่อแถวรอหน้าพระราชวังประมาณชั่วโมงนึงเลย เข้าไปดูรายละเอียดเรื่องตั๋วได้ที่เว็บนี้ https://bit.ly/361EUIq
การเดินทาง : นั่งรถไฟ RER สาย C ไปลงที่สถานี Versailles Rive Gauche เดินต่ออีกประมาณ 15 นาที
( มูแลงรูจ )Moulin Rouge

เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้มา เพราะว่าเป็นชื่อของหนังชื่อดังในยุค 90s ที่เด่นๆก็คือกังหันสีแดงอยู่บนหลังคาร้าน คำว่า “มูแลง” แปลว่ากังหันลมในฝรั่งเศส สร้างขึ้นตอน 1988 แต่ที่นี่จะใกล้ย่านมงมาร์ต ตอนนี้ก็ยังมีการแสดงให้ชมนะ ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงละครที่มีชื่อเสียงของปารีสเลยนะ
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดิน Metro มาลงที่สถานี Cardinal Lemoine
หรือว่านั่งรถไฟ RER สาย B มาลงสถานี Luxembourg ก็ถึงเหมือนกัน

ทางเราไม่ได้เข้าไปชมข้างใน ถ่ายแต่ตรงกังหัน จุดนี้เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ต้องมาถ่าย แต่ข้อควรระวัง ในย่านมงมาร์ตนี้ถ้าเป็นช่วงค่ำๆจะค่อนข้างน่ากลัว และอันตราย ระวังกันด้วยนะทุกคน ถ้าเดินคนเดียวไม่แนะนำให้มาย่านนี้ตอนมืดๆ
จุดต่อไป กำแพงบอกรัก 300ภาษา (Mur des Je t’aime)
อยู่แถวมงมาร์ต ไม่ไกลจากจุดตะกี้ ทุกคำที่กำแพงจะแปลว่า “ฉันรักเธอ” แต่คนละภาษาทั่วโลก แม้กระทั่งภาษามือก็มีนะ เรานั่งหาภาษาไทยอยู่สักพัก ใครที่มาที่นี่ลองมาหาภาษาไทยดูนะว่าอยู่ตรงไหน
พิกัดจุดนี้ ตามมาเลย https://goo.gl/maps/TzC8h3x5fYWWTqbn6
ช่วงเย็นตอนที่เราไป เค้ามีดนตรีมาเล่นเปิดหมวกพอดี บรรยากาศชิวมาก ถ้าใครจะมาเดินเล่นชิวๆ ที่นี่ก็มาได้เลย
จุดเช็คอินต่อไป ย่านมงมาร์ต (Montmartre) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของปารีส พอเรามาถึงย่านนี้เรารู้สึกเลยว่าแตกต่างจากย่านอื่นๆที่เราไปในปารีส คนที่นี่ Slowlife กันมาก เค้าบอกเป็นย่านของเหล่าศิลปิน ย่านนี้มีทั้ง Street art ร้านศิลปะต่างๆ
พิกัด : https://goo.gl/maps/W9ZS51iEvZyZYgiv8




PLACE TERTRE หรือว่า Montmartre’s Place du Tertre เป็นแหล่งรวมศิลปินที่นั่งคอยวาดรูปให้แก่นักท่องเที่ยว เดินเพลินมากที่นี่ ผลงานแต่ละคนสวยมากและมีเอกลักษณ์เฉพาะด้วย
ถ้าใครอยากวาดรูปเหมือน หรือได้ของที่ระลึกสักชิ้นกลับไป แนะนำมาเดินที่นี่ดู
พิกัด : https://goo.gl/maps/sUW6eKMdA7FrBNZDA



สำหรับการเดินทางมาย่านมงมาร์ตนี้ : นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Anvers (สาย2) หรือ Lamarck Caulaincourt (สาย 12)

จากย่านมงมาร์ต เราอยากจะมากินเมนูหอยทากที่ฝรั่งเศส เมนูนี้เป็นหนึ่งในเมนูชื่อดังของประเทศนี้เลยทีเดียวนะ ซึ่งร้านที่เราจะมากินในวันนี้เป็นร้านที่เก่าแก่และคนรีวิวมากที่สุดในปารีสเลย ชื่อร้านว่า L’ESCARGOT MONTORGUEIL
คนที่นี่เค้ากินเมนูนี้เป็น Starter หรือเมนูเรียกน้ำย่อย ตอนแรกเมนูนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของแคว้น Bourgogne จริงๆมีหลายร้านให้เลือกทั่วปารีสแหละแต่ร้านที่เราพาไปเป็นร้านที่ดังไปทั่วโลก
นี่พิกัดร้าน : https://goo.gl/maps/onaXGWHUfcqgpN8d6
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Châtelet – Les Halles



เราสั่งแบบ Original มาลอง จริงๆเค้ามีแบบ ผสมตับห่านด้วยนะเป็นอีกราคานึง แต่ส่วนตัวคิดว่าเมนูนี้อร่อยสุดละ รสชาติมันจะมีกลิ่นของหอยหน่อยๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าต้องมาลอง

ร้านนี้เค้ามีเสต็กเนื้อด้วยนะ เราสั่งแบบ Medium rare ราคาทั้งหมดเกือบ 3 พันบาทไทย สั่งไปประมาณ 4 – 5 อย่าง คิดว่าราคาสูงใช้ได้เลยนะ
มาถึงที่สุดท้าย จุดสุดท้ายที่ต้องมาสักครั้งก็คือ Arc de Triomphe
หรือ ประตูชัยฝรั่งเศส เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ “จัตุรัสแห่งดวงดาว” (Place de l’Étoile)
ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส
ที่นี่เราเห็นรูปวาดมาตั้งแต่เด็ก เราไม่คิดว่าของจริงจะใหญ่ขนาดนี้
พิกัด : https://goo.gl/maps/96h9M188zEJQmTiB6
จบกับฝรั้่งเศส 3 วันกันไปแล้ว ต่อไปเราจะไปกันที่ สวิส และเยอรมัน
ไปดูรีวิวได้ในลิงค์นี้เลย
Switzerland : http://www.gowentgothailand.com/archives/11515
Munich : https://web.facebook.com/1528716240767579/posts/2207786902860506?d=n&sfns=mo
หรือดูแบบ คลิปได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=O9wzEGqx758&t=198s
แล้วเจอกันใหม่ในทริปต่อไป ฝากติดตามด้วยนะทุกคน
#gowentgo #Thaiairways #สบายต่างกัน #iflythai #Paris #France