รีวิวทริปครั้งนี้ ขออนุญาตเอาใจมนุษย์เงินเดือน งานหนัก เงินน้อย วันลาไม่พอ เอ้ยยยยย เอาเป็นแค่วันลาไม่พอก็แล้วกัน เพราะเอาไปเที่ยวหมดแล้ว ฮ่าๆๆ เรื่องเงินขอไม่พูดให้เป็นลางไม่ดี เราเลยตั้งใจจะมาแชร์ที่เที่ยว ที่กิน ที่ถ่ายรูปในมาเล ที่มีเวลาแค่ 48 ชั่วโมงก็ทำได้ ในราคาเบาๆสบายกระเป๋า !
แต่ก่อนเราก็รู้จักมาเลเซียในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ติดกับภาคใต้ของไทย เป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และมีค่าเงินที่เรียกว่า ริงกิต (1 ริงกิต เท่ากับประมาณ 8 บาท เพื่อความสะดวกในการคิดเลข) เรารู้แค่นี้จริงๆเลยแกเอ๊ยย.. แต่การเดินทางครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ทำให้เรารู้จักมาเลเซียมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวด้วย
ถ้าพร้อมแล้ว ออกเดินทางกันเลย …
เราออกเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย บินตรงไปลงกัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเอง ดูหนังยังไม่จบหนึ่งเรื่องก็ถึงแล้ว ค่าตั๋วไป-กลับ อยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท ใครจองช่วงโปรก็อาจได้ถูกกว่านี้ ถึงกัวลาลัมเปอร์โดยสวัสดิภาพ เวลา 11.30 น. อ่อออออ ลืมบอกไป ที่มาเล เวลาเร็วกว่าที่ไทย 1 ชั่วโมงจ้า
เริ่มต้นใช้ชีวิตในมาเลเวลา 11.30 น. เนื่องจากสนามบินอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง พอไปถึงจะต้องเลือกแล้วว่าจะเข้าเมืองโดยรถบัส หรือ รถไฟ (KLIA Transit หรือ KLIA Express) แต่เราโชคดีที่มีรถของโรมแรมมารับถึงที่เลยจ้า นั่งสวยๆไป 45 นาที รู้ตัวอีกทีก็ถึงโรงแรมแล้ว

ทริปมาเลเซียครั้งนี้ เรามีโอกาสได้มาพักที่โรงแรม ibis KLCC (ibis Kuala Lumpur City Center) โรงแรมระดับ 4 ดาว ที่มาในราคาน่ารัก น่าคบหา เริ่มต้นที่ 1,500-3,000 บาท (ขึ้นอยู่กับห้องพัก) แต่ความดีงามของที่นี่คือโลเคชั่น! อยู่ใกล้ Petronas Tower และสถานีรถไฟฟ้า KLCC แค่ 10 นาที เดินได้สบายมาก!

ถึงโรงแรมปุ๊บ เช็คอินปั๊บ แล้วรีบเอาของไปเก็บ จะได้ไปทานอาหารมื้อแรกกันก่อนอื่น ให้ดูห้องนอนก่อนที่เราจะทำรก ฮ่าๆๆของเราเป็นห้องเป็นแบบ standard room ซึ่งสามารถเลือกเป็น standard room 2 ห้อง connect กันก็ได้หรือใครมาเป็นครอบครัว มีลูกเล็กเด็กแดงมาด้วยแนะนำเป็นห้อง Deluxe room ไปเลย กว้างขวางอยู่สบาย




ด้วยความหิวโหย และสะดวกรวดเร็ว เราเลือกทานอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารของโรงแรมกันเลย ชื่อว่า “Kampung Kitchen” เป็นห้องอาหารที่ตกแต่งสไตล์บ้านมาเลแบบดั้งเดิม (หรือที่เรียกว่า Kampung) ผสมโมเดิร์นจ้า เพราะล้อมรอบไปด้วยกระจกใส มองเห็นวิวเมืองกัวลาลัมเปอร์เล้ยยยยย





หลังจากเพิ่มพลังด้วยการกินอาหารจนแน่นไปหมดแล้วนั้น … เราออกจากโรงแรมประมาณ 14.00 น. เพื่อไปยังแลนด์มาร์กแรกของวันนี้ก็คือ Merdeka square park ซึ่งในบริเวณนั้นก็จะมีสถานที่ยอดฮิตที่ต้องไปถ่ายรูปด้วยคือ Masjid Jamek และ Sultan Abdul Samad Building จากโรงแรมเราใช้บริการ Grab Car นั่งไปถึงที่เลยจ้า บอกเลยว่าใช้ Grab Car ที่มาเลเซียเป็นอะไรที่เวิร์คมากๆ เพราะ Grab ที่นี่ถูกทำให้ถูกหมายเรียบร้อยแล้วจ้า เรียกปุ๊บ ได้ปั๊บ ไม่ต้องกลัวถูก cancel แถมราคาย่อมเยาว์ จากโรงแรมนั่งไป Merdeka Square ตกคนละ 25 บาทเองแก ดีงามมากๆ


อาคารสุลต่าน อับดุล ซาหมัด ถูกใช้เป็นสถานที่ราชการตั้งแต่สมัยที่เป็นเมืองขึ้นของอาณานิคมอังกฤษเลย ส่วนหอนาฬิกาตรงนั้นก็สร้างให้คล้ายกับหอนาฬิกา Big ben ที่อังกฤษ



มัสยิดจาเม็กเป็น 1 ในมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์ คำว่า Jamek แปลว่า สถานที่ที่คนมาชุมนุมกับเพื่อเคารพบูชา แต่คนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า Friday Mosque จากตรงนี้เราจะเดินไปต่อกันที่ China Town ปักหมุด Google Map ไปร้านชื่อ Merchant’s Lane


เราใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที เดินมาย่านไชน่าทาวน์ แวะร้าน Merchant’s Lane ที่เป็นร้านชื่อดังในกัวลาลัมเปอร์เลยล่ะ พอดีเห็นเป็น Recommended cafe ในกัวลาลัมเปอร์ ตอนที่ทำการบ้านก่อนมาเที่ยวมาเล แถมโดนการันตีความดีงามจาก เจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่เค้ามาคุยด้วยอีกต่างหาก ก็เลยต้องมาลองซะหน่อย ร้านจะเป็นห้องแถวเล็กๆแคบๆ มองหาให้ดี เพราะทางเข้าร้านมันเล็กจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆ

ลองสั่ง earl gray latte (13 RM) กับ Better than sex (16 RM) มาลองชิม


Better than sex เค้าบอกว่าเป็นแป้งโรตี ซึ่งเราว่ามันเหมือนแป้งขนมเขียวบ้านเรา กับชีส กินคู่ไอศครีมรส Kaya toast มีสตอเบอรี่หั่นชิ้นโรยตกแต่งเพื่อความสวยงามอีกนิดหน่อย เราว่ารวมๆก็โอเค แต่ไม่ได้อร่อยมากกกกก ขนาดนั้น เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยทานหวาน คนชอบทานหวานอาจจะชอบค่ะ
นั่งเล่นกันอยู่นาน เพื่อรอเวลาไปสถานที่ต่อไป ไปทานข้าวเย็นกันค่ะ ร้านนี้มีชื่อว่า Madam Kwan’s Kitchen เป็นร้านอาหารมาเล ที่มีหลายสาขา แต่เราเลือกมาที่สาขา Suria KLCC ใครพูดภาษาอังกฤษได้ แนะนำว่าให้โทรจองก่อน หรือถ้าไม่สะดวก ก็ให้ที่โรงแรมเค้าช่วยจองให้ก็ได้เน้อ ร้านนี้คนมาเลเองเค้าก็นิยมมาทานหน้าร้านนี่คิวยาวเชียว เพราะอร่อยน้ำตาไหล ราคาไม่แพง จานละประมาณ 200-300 บาท
ได้เยอะมากด้วย กินกันจนจุกไปเลยจ้า


ส่วนอีกอันไม่แน่ใจว่าคืออะไร และไม่ค่อยถูกปากเราจ้า


อธิบายไม่ค่อยถูก แต่อร่อยมากเหมือนกัน

อาหารทั้งหมดประมาณ 1,200 บาท ได้ตั้ง 4 อย่าง ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามากจริงๆ แถมอร่อยด้วย ประทับใจมื้อนี้สุดๆเลยค่า หลังจากที่ทานอาหารเย็นเรียบร้อย เราสามารถเดินจาก Suria KLCC ไปที่ Petronas Tower ได้เลย

ถึงแล้วววววว ที่สุดท้ายของเราในวันนี้ สูงมากกกกก สวยมากกกกก และคนเยอะมากๆ เราแนะนำให้มาตอนกลางคืนละกัน เพราะคิดว่าตอนกลางคืนสวยกว่าเยอะเลย

24 ชั่วโมงแรกผ่านไป
เข้าสู่เช้าวันที่ 2 หลังจากตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัง เราก็จะไปออกกำลังด้วยการว่ายน้ำกัน!เพราะหลังจากที่ไปแอบดูสระว่ายน้ำมาเมื่อวานนี้ มันสวยมากๆเลยค่ะท่านผู้ชม และด้วยความโชคดีที่พกชุดว่ายน้ำมาด้วย จะรอช้าทำไมละคะ



บอกได้คำเดียวว่า Relax สุดๆ ชิวมาก มาตอนเช้าแดดไม่แรง ว่ายน้ำไปชมวิวไป หรือใครจะอยากมาลองว่ายน้ำช่วงเย็นแทนก็ได้ เพราะก็น่าจะสวยไปอีกแบบนะคะ เห็นวิวเมืองกัวลาลัมเปอร์และตึก Petronas Twin Tower ยามค่ำคืน หลังจากว่ายน้ำเสร็จแล้ว เราก็กลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว พร้อมที่จะออกเดินทางกันต่อ ส่วนแพลนต่อไปของเราวันนี้คือนั่งรถไปที่เมืองปุตราจายา
“ปุตราจายา” เมืองใหม่และศูนย์กลางการปกครองของมาเลเซีย
แต่ไม่ใช่เมืองหลวงนะ เมืองหลวงยังเป็นกัวลาลัมเปอร์เหมือนเดิม เพื่อลดความแออัดในกัวลาลัมเปอร์ เค้าก็เลยมีการย้ายที่ตั้งรัฐบาลมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 1999 จ้า
การเดินทางก็ง่ายมากๆ เราเรียก Grab car จากโรงแรมไปลงที่ KL Sentral ที่นี่เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนหัวลำโพงบ้านเรา เราจะนั่งรถไฟ KL Transit ไปลงที่ปุตราจายา สนนราคาเพียง 14 ริงกิต ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วเมื่อลงจากรถไฟให้เดินตามป้ายไปที่ทางออกเลย การเดินทางเที่ยวในปุตราจายามี 2 วิธีหลักๆด้วยกันคือ ใช้รถบัส L15 ซึ่งจะวิ่งไปตามจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ สามารถเดินไปสอบถามและซื้อตั๋วได้เลย แต่รถจะมีเป็นรอบๆไปนะคะ หรือถ้าเป็นคนขี้เกียจอย่างเรา Grab car สิคะ รออะไร จะสะดวกกว่าตรงที่เรียกรถง่าย ไม่ต้องรอนาน


ออกจากสถานีรถไฟแล้วเราก็ตรงดิ่งมาที่ Iron Mosque มัสยิดนี้หน้าตาจะดูแปลกกว่าที่อื่นๆ ที่เราเคยเห็นมา แต่สวยแล้วก็ใหญ่ไม่แพ้กัน เราไปถึงประมาณ 13.30 ซึ่งเป็นเวลาที่เค้ากำลังละหมาดกันอยู่ จะเข้าไปชมข้างในได้ต้องรอ 14.00 ซึ่งฝั่งตรงข้าม Iron Mosque จะเป็น Palace of Justice สวยมากๆ ยิ่งใหญ่อลังการณ์ไม่แพ้กัน *มัสยิดที่มาเล เค้าแก้ปัญหาผู้หญิงแต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่คลุมผมด้วยการให้เอาชุดไปใส่คลุมเลยจ้าปิดทั้งตัวก่อนเข้าไปเลยง่ายดี





จาก Palace of Justice เราก็จะเรียก Grab Car เหมือนเดิมค่ะ สถานที่ถัดไปของเราคือ Putra Mosque หรือมัสยิดสีชมแห่งปุตราจายานั่นเอง *มัสยิดแต่ละที่ชุดคลุมก็จะสีแตกต่างกันไปค่ะ ที่นี่ก็เข้าได้ช่วง 14.00-16.00 เหมือนกันนะ




ลองเดินออกมาดูด้านนอก โซนริมน้ำกันบ้าง ข้างล้างตรงนี้มีศูนย์อาหารด้วยนะคะ เผื่อใครหิว จะมาหาอะไรทานที่นี่ก็ได้ เท่าที่เดินดูอาหารก็ดูหน้าตาใช้ได้เลย หรือถ้าใครมาช่วงเย็นๆ ต้องอากาศดีกว่านี้มากแน่ๆ เพราะเราเลือกมาช่วงบ่ายด้วย ข้อเสียอย่างเดียวเลยคือร้อนมากเลยค่ะ ร้อนละลายไปเลยยยย



Landmark สุดท้ายในเมืองปุตราจายาที่ต้องไปเก็บคือ Perdana Putra ซึ่งเราสามารถเดินข้ามถนนไปเยี่ยมชมความงดงามได้ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาในปุตราจายา เราจะมองเห็นที่นี่มาแต่ไกลเลยค่ะ Perdana Putra เป็นทำเนียบรัฐบาลของมาเลเซีย ในส่วนตรงกลางที่ด้านบนมีโดมแก้วสีเขียวเหมือนรูปหัวหอม ตรงนี้เป็นที่ทำการของท่านนายกรัฐมนตรีเค้าล่ะ เราถ่ายรูปเล่นที่จุดนี้กันอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเรียก Grab car ให้กลับเข้าไปส่งที่โรงแรมเลย สรุปรวมราคาค่ารถและทางด่วนแล้ว แพงกว่าขามาที่มาด้วยรถไฟอยู่ร้อยกว่าบาท แต่ก็ถือว่าสะดวกกว่ามาก เพราะนั่งยาวๆกันไป


หลังจากเดินเที่ยวปุตราจายามาทั้งวันแล้ว เราขอปิดโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ ก่อนที่พรุ่งนี้เราจะบินกลับกรุงเทพกันตั้งแต่เช้า โดยการไปใช้บริการสปาของโรงแรมนั่นเองงง เราเลือก package spa aroma 90 นาที เค้าจะเริ่มจากนวดเท้า ขัดเท้าให้เราก่อน คือแค่นี้ก็สบายมากๆ หลังจากที่เดินไปเที่ยวมาทั้งวัน จากนั้นเค้าจะปล่อยให้พวกเราไปล้างตัว แล้วใส่ชุดชั้นในกระดาษที่โรงแรมเตรียมไว้ ไม่ต้องตกใจไปนะคะ การนวดแบบอโรมา เป็นการนวดน้ำมัน เราจะต้องใส่แค่นี้ หรือไม่ใส่อะไรเลยก็ได้ เอาที่สบายใจ ฮ่าๆๆๆ แต่ถ้าใส่เสื้อผ้ามันจะเปื้อนน้ำมันไง แล้วก็นวดไม่ได้




แต่เวลานวดเค้าจะมีผ้าปิดตัวเราในส่วนที่เค้ายังไม่ได้นวดนะ พูดง่ายๆคือ เปิดแค่ส่วนที่จะนวด นวดเสร็จก็ปิด ไปเปิดตรงอื่นต่อ ไม่ต้องคิดอะไรมาก นอนๆให้เค้านวดไป บอกได้คำเดียวว่า relax มากกกกกก ดีมากกกกก ความดีงามเมื่อนวดเสร็จคือ มีน้ำขิงร้อนๆมาเสิร์ฟ คือดีงาม อร่อย ไม่หวานมาก ไม่เผ็ดมาก เป็นการปิดท้ายที่เริ่ดที่สุด จากนั้นก็แยกย้ายตัวใครตัวมันไปอาบน้ำนอนได้จ้า

และนี่ก็คือ 48 ชั่วโมงในมาเลเซียของเรา
เก็บครบจบทุกแลนด์มาร์ก แถมมีเวลาว่ายน้ำและมาสปาอีก! เพราะเมืองเค้าเดินทางสะดวก และที่เที่ยวสำคัญๆ อยู่ไม่ไกลกันมาก ทำให้ใช้เวลาเดินทางน้อย เที่ยวง่ายสุดๆไปเลย ใครที่วันหยุดน้อยกำลังมองหาสถานที่เที่ยวแบบนี้ บอกเลยว่ามาเลนี่แหละ ตอบโจทย์สุดๆแล้ว อาหารอร่อย เดินทางสะดวก ที่พักไม่แพง แต่ถ้าใครมาพัก ibis KLCC เหมือนกัน แนะนำว่าเดินเที่ยวทั่วเมืองจนเมื่อยแล้ว ต้องมาผ่อนคลายที่สปาเลยจ้า ห้ามพลาด ดีงามจริงๆ