[ INDIA ] Jaipur – NewDelhi – Agra : เที่ยวหรู อยู่สบาย อินเดียง่ายกว่าที่คิด

2
63388

เที่ยวหรู อยู่สบาย อินเดียง่ายกว่าที่คิด

          ทำไมไปอินเดีย? ทำไมต้องลำบาก? นี่คือคำถามของหลายๆคนก่อนจะไป จริงๆเป็นคนชอบเที่ยวลุยๆนะ แต่เนื่องจากทริปนี้ชะนีไปด้วยเพียบ เราเลยคิดว่าเที่ยวยังไงให้สบายที่สุดมันจึงออกมาเป็นทริปนี้นั่นเอง

          ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า นี่เป็นอินเดียครั้งแรก และอย่างที่ทุกคนบอกแหละ สำหรับประเทศนี้ไม่รักก็เกลียดเลย แต่เอาจริงๆส่วนตัวเลย อินเดียเป็นประเทศเดียวที่เรารู้สึกว่า ชีวิตแม่งไม่ต้องมีเหตุผลมากก็ได้ เหมือนวันสอบปลายภาคตูจะไม่ไปก็ไม่ไปซะงั้น แม่งโคตรสนุก มีอะไรตื่นเต้นและไม่เคยเห็นตลอดเส้นทาง เรียกได้ว่ามาเจออินเดีย คุณจะต้องรักอินเดียเว้ย และจะรักประเทศไทยมากกว่าเดิม (อันนี้จริงๆ )

          แล้วทำไมทริปนี้เราถึงบอกว่ามันคือเที่ยวหรูอยู่สบาย เหตุผลเพราะจริงๆแล้วที่เที่ยวที่นี่สวยมากสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋งมาก หลากหลายมาก และที่สำคัญโคตรถูกกกก หลายๆคนจึงอยากมา แต่ไม่กล้ามาเพราะกลัวนั่นกลัวนี่ ซึ่งเราบอกเลย ถ้าคุณไม่ใช่สายลุย แต่อยากไปที่นี่จริงๆ คุณต้องอ่านตามรีวิวนี้! ซึ่งจริงๆแล้ว การไม่ลุยในอินเดีย เสน่ห์บางอย่างอาจจะหายไป เพราะการได้ต่อกรกับแขก ลงไปสัมผัสวิถีชีวิตจริงๆ ต้องสนุกกว่าแน่นอน แต่อย่างที่บอกไง ใครไม่ชอบลุยมากแต่อยากไป ถ้าเห็นรีวิวลุยๆมาเยอะแล้ว มาดูรีวิวแบบ เที่ยวไฮโซ โลวบัจเจด ตามนี้ได้เลย

และนี่คือเหตุผลทั้งหมดของทริปนี้

          1. หลายๆคนกลัวเรื่องการเดินทาง เพราะจะต้องไปต่อกรกับแขกเรื่องราคามั่งหล่ะ โดนหลอกมั่งหล่ะ ไม่ไปมั่งหล่ะ เบียด หรือ บางคนไม่ชอบกลิ่นแบบไม่ค่อยถูกจมูก กลิ่นแบบขมคอ หอมของเค้าแต่ขมคอของเรา 555 ปัญหานั้นจะหมดไปเพราะเราเช่ารถไปเลย เป็นรถแบบพร้อมคนขับ มารับตั้งแต่สนามบินทุกๆย่างก้าวของคุณจะปะทะและต่อกรกับแขกน้อยมาก ถึงมากที่สุด เราไป 3 เมืองไม่ต้องขึ้นรถไฟ ไม่ต้องกลัวขึ้นไม่เป็น รถไม่มา ตกรถ โดนหลอก เพราะเรานั่งรถส่วนตัวเปลี่ยนเมืองกันเลย หลายๆคนถามอ้าวแบบนี้มันจะสนุกหรอ อย่างที่บอกไง ใครไม่ชอบลุยมากแต่อยากไปถ่ายรูปชิค ชมเมืองสวยๆ เช่าเลยครับที่สำคัญไม่แพงนะเฮ้ย

          2. เรื่องอาหาร หลายคนกลัวกินไม่ได้บ้างหล่ะ ท้องเสียบ้างหล่ะ สกปรกบ้างหล่ะ บอกเลยเราเน้นกินแต่ร้านดีๆ รีวิวเยอะๆ (ดูจากแอพ trip advisor) ราคาอาจสูงกว่าหน่อยแต่อร่อยจริงๆนะคูนผู้โชมม ไม่ต้องกลัวท้องเสียด้วย แต่ประเด็นจริงๆ อาหารที่นั่นถูกมากๆอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแพงของเค้าก็เหมือนอาหารในห้างบ้านเรานั่นแหละ

          3. โรงแรม อินเดียราคาที่พักถูกมากก มีตั้งแต่คืนละ 100 บาท ฟังไม่ผิดครับ 100 บาทจริงๆ แต่ไหนๆไปอยากอยู่ดีอยู่สบาย นอนไปเลยคืนละพัน ตกหัวละ 500 ราคาแทบไม่ต่างจากเที่ยวในเมืองไทย แต่โรงแรมดี มีบาร์ในโรงแรมเซอวิสดีทำเลสะดวก

          4. ที่เที่ยว สำหรับรูทนี้คือสามเหลี่ยมทองคำ เพราะฉะนั้นที่เที่ยว ทั้งสวยทั้งดูดี ไม่สกปรกอยู่แล้ว ได้แต่รูปสวยๆชิคๆ ไม่ว่าจะเป็น ชัยปุระ/อักรา ไปดูทัชมาฮาล หรือ เมืองหลวงอย่าง นิวเดลี

          5. และทำให้ทริปสนุก และสบายที่สุดคือ เรื่องอากาศนั่นเอง ไปช่วงต้นปีกุมภาอากาศดีมาก อุณหภูมิ 10 กว่าจนถึง 20 ต้นๆ ทำให้ทั้งทริปไม่เหนื่อย สบาย เหมือนเดินเล่นยุโรป หลายๆคนพอบอกอินเดีย จะนึกถึงว่าร้อน เหงื่อตกกีบ จั๊กแร้ชุ่ม แต่ไม่ใช่กับทริปนี้ ทริปนี้คือแต่งตัวสวยๆ หรือซื้อชุดแขก ไปวิ่งลั้ลลาตามสถานที่เที่ยวได้เลย บอกเลยอากาศแบบนี้สวยงามยังกับวิ่ง กลางทุ่งลาเวนเด้อ ซะอีก

          6. และความสนุกของอินเดีย จะมีตั้งแต่คุณจะเจอสัตว์หลายชนิดมาก เดินว่อนกันตามถนน ตามสถานที่แบบอินดี้ ไม่ต้องแบ่งแยก มีตั้งแต่ หมา แมว ลา แพะ แกะ นกยูง ลิง ม้า อูฐ ช้าง และ ที่เยอะที่สุดคือ วัว วัวที่นี่คือฮิปสเตอร์ เดินช้าๆแดกหญ้า มีความอินดี้ อิสระจากทุกสิ่ง เดินขวางถนน จะนอนจะนั่งทำตามใจ เหมือนถนนทั้งประเทศได้สัมปทานเป็นของวัวไปแล้ว หรือจะเป็นเรื่องของคน จริงๆคนอินเดียส่วนใหญ่น่ารักมาก มีน้ำใจ ชอบให้ถ่ายรูป ยิ้มทั้งวัน ส่วนโกงๆก็มีแต่ก็เรื่องปรกติตามสถานที่ท่องเที่ยว บ้านเราเองก็มี ที่ชอบคือคนของเค้ายิ้ม ชอบความตื้อ ชอบความเป็นเซลมือ 1 ของคนที่นี่มาก คือตูไม่รู้จักคำว่าปฏิเสธ สนุกมาก และที่นี่เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน ถ้าหากคุณถามว่า จะมีมั้ยคนแบบนั่งอึริมทางเหมือนที่เคยได้ฟังมา ผมว่าอาจจะมีแต่น้อยลงมาก คือไปไม่เจอเลยดีกว่า เพราะประเทศเค้าก็พัฒนาเรื่อยๆ สรุปแล้ว จะกี่ครั้งในชีวิตไม่รู้ แต่ครั้งนึงนี่คือประเทศที่ต้องไป คุณจะเข้าใจเลยว่าคำว่าโลกกว้างมันเป็นยังไง!!!

สำหรับข้อควรรู้ก่อนไปอินเดีย

1. สำหรับวิธีการเดินทางในอินเดีย นอกจากการเช่ารถพร้อมคนขับซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้ว ยังสามารถเดินทางด้วยแท็กซี่ รถสามล้อ รถไฟท้องถิ่น และรถไฟฟ้าใต้ดินที่สะดวก รวดเร็ว(ให้บริการในกรุงนิวเดลีและปริมณฑล)

2. ช่วงฤดูร้อนที่อินเดีย(เมษา-มิถุนา)ไม่แนะนำให้มา เพราะอากาศร้อนจัดมาก อุณหภูมิเคยสูงถึง 44องศา ช่วงที่แนะนำคือตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เพราะมีอุณหภูมิที่เท่ากับประเทศไทย และอุณหภูมิจะลดถึง 20องศาในช่วงฤดูหนาว(ตุลา-มีนา) ใครชอบอากาศเย็นๆก็ไปช่วงนี้ได้เลยจ้า

3. เวลาในประเทศอินเดียช้ากว่าในประเทศไทย 1.30 ชั่วโมง

อินเดีย 5 วัน 5 คืน
12,000 (ไม่รวมตั๋ว)
กินดีอยู่ดี (จริงๆ อินเดียจะเอาถูกกว่านี้ก็ได้นะ )

บิน FlY:
โดยสายการบิน ThaiSmile มีเที่ยวบินไปลงที่ ชัยปุระเลย ไปถึงเข้าเช็คอินโรงแรมนอนพักเที่ยวได้เลย ซึ่งจริงๆตอนแรกก็เล็งอยู่หลายที่ เพราะของ ThaiSmile มีไปลง 4 ที่ คือ ลัคเนา ,    พาราณสี , คยา และ ชัยปุระ เราเลือก ชัยปุระเพราะทัชมาฮาลเลยแค่นั้น ยังไงก็ต้องเห็นอันนี้ก่อนตาย เพราะได้ข่าวว่าอีกไม่นานมันอาจจะปิดไม่ให้เข้า เนื่องจากภาวะมลพิษ เพราะฉะนั้นไม่ได้! ฉันต้องได้ดูก่อนไม่ยอมๆ ตีตั๋วไป ThaiSmile บินโลด

วีซ่า VISA: วีซ่าอินเดียราคา 1790 บาท ถ้าให้ส่ง +230 บาท ไปทำได้เลยตรงอโศก ในเน็ตมีรีวิวเพียบ วีซ่าเอาเอกสารไปครบ ผ่านง่ายๆยังกับรู้ข้อสอบ

โรงแรม HOTEL: 5 คืน 3300 บาทต่อคน

รถ TRANSPORT: เราเช่ารถเอาเลย ตลอดทริป tempo traveller  ราคา 5 วันรวมทุกอย่างรวมน้ำมัน รับสนามบิน พาไปเที่ยว 5 วัน ชัยปุระ – นิวเดลี – อักรา – และกลับมาชัยปุระ สนามบิน ราคา 28000 รูปี ตก 14xxx หาร 8 คน 18xx บาท (รถนั่งได้ 9 คน ) จองจากอันนี้เลย http://delhirentcar.com/

อาหาร FOOD: กินร้านดีๆตลอด มีเบียร์ทุกมื้อ ตกคนละ 3000บาท

ค่าเข้าสถานที่ + กิจกรรม (PLACE + ACTIVITIES): รวมคนละ 1143 บาท

Internet:
399 บาท รอบนี้เราเปิดใช้ Sim2fly ของ Ais จริงๆมีตัวเลือกหลายอย่าง บางคนอาจจะมาซื้อซิม ที่นี่ แต่เท่าที่อ่านมาคือ ค่อนข้างยุ่งยาก ทั้งวิธีเปิดหรือหาซื้อ หรือ ถ้าเป็นพ็อกเก็ตไวไฟ ข้อจำกัดคือต้องพกของเพิ่มกับต้องคอยชาร์จแบตเนี่ยแหละ (ส่วนตัวชอบตัวเบาๆ) แต่ข้อดีของ Sim2fly คือมันถูกมากกกก จริงๆจังๆ เราสามารถซื้อมาตั้งแต่ที่ไทย ถ้าเดินทางในประเทศโซนเอเชียเลย ราคา 399 บาท ได้เน็ต unlimited ความเร็วสูงสุด 3 GB นาน 8 วัน ซึ่งตอนนี้มี 14 ประเทศแล้ว ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ประเทศเพื่อนบ้านมีหมด และก็ถ้าเน็ตหมดเติมเงินได้เลย ทาง Mpay แต่ของผม 5 วันนี่เหลือๆเลยครับ และการเติมแบบนี้มันดีตรงที่ไม่ต้องกลัวเน็ตรั่วไง เติมมาเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ข้อดีอีกอันทีชอบ คือมันไม่ค่อยยุ่งยาก เสียบซิมเปิดเครื่องที่นู่นใช้ได้เลย ไม่ต้องไปทำไรให้วุ่นวาย ที่สำคัญความเร็วดีมากใช้ได้ปรกติเลย แล้วสุดท้ายเก็บซิมไว้ทริปหน้าได้อีก สำหรับคนที่ชอบเที่ยว รายละเอียดที่เหลือไม่ต้องถามผม อ่านในนี้เลยจ้า  www.ais.co.th/roaming/sim2fly

ประกันเดินทาง Travel Insurance: ยังไงก็ควรมี โดยเฉพาะมาอินเดีย เพื่อกินไรไปท้องเสีย ขึ้นมาจะได้ไม่เดือดร้อนกัน หรือมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น รอบนี้เราใช้ Chubb Travel Insurance เราสามารถซื้อได้ทีเดียวเลยกับตอนจองตั๋วของ ThaiSmile หรือ เข้า Website โดยตรงก็ได้  www.chubbtravelinsurance.co.th

แลกเงิน: SuperRich สีเขียว อัตราประมาณ 1 รูปีเท่ากับ 0.5 บาท

เอาหล่ะเมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็เริ่มไปลุยกันเลยกับทริป

“หลอกชะนีไปอินเดีย เที่ยวหรูอยู่สบาย”

Day 1 Around JAIPUR

          เราเดินทางด้วยสายการบิน ThaiSmile ซึ่งของ ThaiSmile จะเป็น Full service คือรวมกระเป๋าแล้ว และออกเดินทางจาก สุวรรณภูมิ นะครับ ซึ่งมีไฟลท์มาลงที่ Jaipur เลย


โดยที่เรามาถึงตั้งแต่เช้ามืด ประมาณเวลาตี 1 สนามบิน jaipur จะค่อนข้างเงียบๆ นิดนึงแต่พอออกมา หน้าแอร์พอร์ต ก็ มีคนเยอะอยู่เหมือนกันก่อนมาเราได้ทำการเช่ารถพร้อมคนขับไว้ ตอนแรกก็เสียวๆเหมือนกันว่าจะมารับเรามั้ย หรือนี่ตูจะโดนรับน้องตั้งแต่มาถึงเลย สรุปมาถือป้ายรอเลยจ้าสบายใจ หลังจากขึ้นรถแล้วเราก็เดินทางเข้าตัวเมือง เพื่อเข้าโรงแรมกันก่อน นั่นคือ โรงแรม The wall street hotel จะบอกว่าโรงแรมที่นี่ดูดีเลยแหละ

นี่คือของกินเล่นที่ชอบมากๆ

นี่คือรถที่เราจะใช้ตลอดทริปนี้เลย มารับเราที่สนามบินนั่งสบาย

มาถึงโรงแรมมืดๆ แต่ยังมีพนักงานรอรับอยู่

          มาถึงต้องนอนก่อน เรากะว่าตื่นสายๆ ค่อยออกอีกที เวลา 9.00 เราก็ลงมากินอาหารเช้า ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ หลังจากนั้นออกเดินทางไป Amber Fort ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาเมื่อมาชัยปุระ ถูกสร้างโดยมหาราชา มาน สิงห์ที่ 1 เป็นป้อมปราการที่มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์

อันนี้คือ มาม่าเราเอามากินคู่อาหารเช้า 

          จะบอกว่าพอมาถึง ก็ถึงเวลาต้องอึ้งครับ เพราะที่นี่แม่งสวยงามมาก แต่รถจะจอดไกลนิดๆ แล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอหน้าทางเข้า ที่นี่จะมีนกพิราบเยอะ เรียกได้ว่าเต็มหลังคา

นี่คือโชว์เป่าปี่งูเห่า ในตำนานครับท่านผู้ชม

อลังการมากๆ สวยมากของจริง

หน้าทางเข้าก็จะมีของกินขายด้วย

มาโพสท่าชิคๆนิดนึง

เราเอง เห็นแดดแบบนี้จะบอกว่าไม่ร้อนเลยเพราะอากาศกำลังเย็นสบายมาก 

ถึงนกจะเยอะแบบนี้แต่ถ้าได้รูปสวยๆที่นี่จะบอกว่าไม่นกนะจ๊ะ

          และวิธีขึ้น amber fort มีสองแบบคือ เดินขึ้นไป กับขี่ช้าง แน่นอนครับเราเลือกขี่ช้างสิวะ แต่คนขับบอกว่าช้างปิดแล้ว แต่ตูไม่เชื่อไง เราบอกจะเดินไปดูก่อน พอไปดูแม่งไม่ได้ปิดไง คนขับแม่งหลอกตูก่อนมาเรียกได้ว่าผมทำการบ้านมาดีพอสมควร รู้ว่าบางครั้ง แขกชอบหลอกเรา เราเลยมาที่นี่แบบแขกพูดอะไรตูไม่เชื่อไว้ก่อน

          สุดท้ายก็ได้ขี่ช้างขึ้นข้างบนจ้า ผมแนะนำว่าขึ้นก็ดีนะ สนุกดี ราคา 1100 รูปี ขึ้นได้สองคน ช้างที่เรานั่งคือ โคตรฟิตเดินแซงทุกตัว บางตัวแม่งฮัดชิ้วน้ำกระจาย ปรากฎว่าขึ้นไปสักพักตอนถึงแม่งขอทิปแต่ด้วยความใจแข็ง ของเราให้ไปแค่ 10 รูปี แล้วเดินไปเลย แต่คนอื่นโดนไถ 100 รูปีหมด 555 พอเดินลงมีป้ายเลย เขียนว่า อย่าให้ทิป นี่ไงมันถึงขอก่อนจะถึง

หน้าตากำลังบอกว่า โดนไถตังค่าทิป 55

          สำหรับ Amber Fort คือใหญ่มาก มีหลายส่วนและสวยมากเช่นกัน สำหรับ ค่าตั๋วเข้าไปด้านใน จะมีราคาแบบแพ็คเกจ 1100 รูปี คือเข้าสถานที่สำคัญได้หลายที่ใน ชัยปุระ แนะนำเป็นอันนี้ ถ้าเราไปประมาณ 3 ที่ขึ้นไปก็คุ้มกว่าไปซื้อแยกละครับ

ในนี้จะเขียนบอกหมดว่าเราเข้าที่ไหนได้บ้าง

ถ่ายเสร็จก็โดนขอทิปนาจา 5555

นี่ไงยังไงก็ชิค

          หลังจากนั้นเรานั่งรถย้อนออกมาไม่ไกลมากจะเจอเป็นเหมือนวังที่อยู่กลางน้ำ ชื่อ Jal Mahal อันนี้ก็สวยมาก แต่ไม่มีอะไรนะตรงนี้เหมือนแวะมาถ่ายรูปเฉยๆ และบริเวณริมน้ำ จะมีของกินขายอยู่ เราไปซื้อไอติมรถเข็นร้านนึง คือเห็นมีขายเยอะมาก ขายเหมือนๆกัน เอามากินเท่านั้นแหละ รสชาติเหี้ยม มาก คือเหมือนเอาแกงที่บูดแล้วไปแช่ช่องฟรีซ แล้วเอามาใส่ไม้ ใครไปไม่ต้องซื้อกินนะครับ หรืออยากให้ชีวิตมีรสชาติก็ตามใจ

เกลียดใครก็ซื้ออันนี้ให้กินซะ

          หลังจากนั้นแวะกินข้าวร้านใกล้ๆแถวนั้นเลย ร้านนี้ Search จาก TripAdvisor จะบอกว่า เป็นร้านอาหารอินเดียที่อร่อยเลยแหละ กินง่าย ได้ช้านิดนึง เนื่องจากคนเต็มร้าน ร้านชื่อ Jamahal Haveli 

          และหลังจากนั้นเรา ก็เข้าไปในตัวเมือง Pink City ไปที่ Janta mantar ชันตรมันตระ (ใช้ตั๋วเดียวกับ amber fort) ที่นี่เป็น 1 ในสถานที่ที่เป็นหอดูดาว ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวบรวมเครื่องมือทางดาราศาสตร์ โดยได้รับการยกย่องโดยองค์การยูเนสโกว่า “เป็นการแสดงออกถึงความชาญฉลาดทางดาราศาสตร์และแนวความคิดทางจักรวาลวิทยาของราชสำนักในช่วงปลายของยุคโมกุล”(ข้อมูล จากวิกิพิเดีย ) ก็เข้าไปข้างในมีแต่ สิ่งก่อสร้างแปลกๆ ต้องบอกว่าคนสมัยก่อนนี่คือเก่งมากสร้างอะไรแบบนี้ได้

เป็นเครื่องวัดอะไรซักอย่างเกี่ยวกับดวงดาว

และมีนกยูงเดินเล่นในนั้นด้วย เจออะไรก็ได้ที่นี่อินเดียไงเมิง

           ถัดจากนั้นเราจึงไปที่ City Palace ซึ่งข้างในเป็นพระราชวังสีชมพูนั่นเอง สวยงามตามที่เห็นในรูปเลยครับสำหรับที่นี่ ที่นี่ค่าเข้า คนละ 500 รูปี

หน้าตาตั๋วค่าเข้าจะเป็นแบบนี้

ถึงแล้วเมืองสีชมพู ในนี้สวยและเก๋มาก

อันนี้เป็นคนคูเวต เค้ามาชวนเราไปเที่ยวประเทศเค้าด้วยหล่ะ

หนุกหนานมากที่นี่ ไม่ทำไรนอกจากถ่ายรูป

ตรงนี้จะเป็นโชว์ละครหุ่นซึ่งต้องบอกว่า เค้าเชิดเก่งมากเหมือนมีชีวิตจริงๆและตลกด้วย 

          ก่อนกลับโรงแรมขึ้นรถ เราอยากให้เห็นส้วมอินดี้นิดนึง คืออยู่ท่ามกลางที่สาธารณะไม่มีสิ่งใดปิดบังคนแกร่งเท่านั้นที่จะกล้า

อันนี้คือ Hawamahal เราแค่ขับผ่านเฉยๆ

          รอบดึกเราแวะร้านนึง ที่รีวิวโอเค ใกล้ๆโรงแรมสรุปเป็นร้านอาหารฝรั่งที่อร่อยเลย ก่อนจะกลับไปนั่งชิวบาร์ในโรงแรม

อันนี้เค้าเอามาให้ตอนกินเสร็จ ไว้ล้างปาก รสชาติคือสมุนไพรผสมมิ้น บอกเลยเหี้ยมมากครับ

DAY 2 Around JAIPUR again

          หลังจากตื่นมากินอาหารเช้าเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปที่ Gaitor ที่นี่ค่อนข้าง unseen นิดนึงเนื่องจากคนไม่เยอะ และที่สำคัญคือสวยด้วยไง เค้าบอกว่าที่นี่เมื่อก่อนใช้เป็นที่เผาศพพระราชาในยุคนั้น ใช้คำว่าควรมาดีกว่าสวยครับตรงนี้ ที่สำคัญค่าเข้าแค่ 30 รูปีถูกมากๆๆ

สามหนุ่มสามมุมหน้าโรงแรม

ที่นี่ GAITOR

สวยงามมากตรงนี้ คนน้อยด้วยควรมาเลย

          หลังจากนั้นเดินทางไป อีกที่ซึ่งอยู่บนเขาคือNahargarh Fort เป็นที่ที่เคยใช้ป้องกันข้าศึกของชัยปุระ ตอนแรกกะจะไม่มา แต่เนื่องจากตั๋วที่ Amber Fort มันใช้ได้เลยมาก็ได้แต่ปรากฎว่าสวยมาก ด้านบนมีจุดชมวิวที่สวยงามมาก

เด็กๆอยู่ๆก็มาขอถ่ายรูปใหญ่เลย ถ่ายเมอานะไม่ใช่ผม 555

อาหารที่ขายบนนี้ รสชาติไม่ถูกปากเท่าไหร่ แค่รู้สึกอยากคว่ำโต๊ะ

แต่วิวด้านบนคือ อลังการงานสร้างมากก สวยสุดๆ 

          และเราก็แวะ Hawamahal อีก landmark ของที่นี่ พระราชวังแห่งสายลม สวยมากมาย แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างในนะ แต่แวะซื้อ ชุดจากร้านข้างๆ และตอนซื้อของมีความฮามาก เค้าบอกว่าเวลาซื้อของที่อินเดียให้ต่อราคาไปเลยเยอะๆ ถ้าเค้าไม่ให้ ให้เดินออกเลย เราก็ทำบ้าง สรุปเดินเข้าเดินออก 5-6 รอบได้ จนได้ราคาที่อยากได้ คือเดินออกทีเค้าก็รั้งเอาไว้แล้วก็เข้าไปต่อราคากันใหม่ เหมือนเล่นเกมส์จะไปไม่ไป นึกถึงอารมณ์ดูหนังอินเดียวิ่งอ้อมเสายังไงหยั่งงั้น

ระหว่างทาง มีพิธีแต่งงานด้วย กำลังจะไปสู่ขอ

          และสุดท้ายของวัน เราไปที่ Monkey Temple หรือ Hanuman Temple นั่นเอง จะบอกว่าชอบที่นี่ที่สุด เพราะมันมีความโบราณสถานมากเป็นวัดฮินดูโบราณ เสียดายมาถึงช้าไปหน่อยใกล้มืดแล้วเลยต้องรีบเดินขึ้น เพราะด้านบนจะมีวัดอยู่ริมผา เป็นจุดที่ไว้ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากๆของที่นี่ และต้องบอกก่อนว่าการเดินขึ้นไปเหนื่อยพอสมควรนะครับ พอไปถึงสรุปไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน แต่วิวสวยมาก อ่อลืมบอกที่นี่ ลิงเยอะมากแต่ลิงที่นี่ ไม่ค่อยเกเรเข้าหาคนนะไม่เหมือนลิงบ้านเรา ด้านบนจะเป็น Sun Temple และข้างในจะมีเจ้าหน้าที่ มาเติมจุดแดงๆที่หน้าผากให้เรา แล้วบังคับ ทำบุญ 100 รูปี ใครไม่อยากทำก็บอกไม่เอาไปละกัน สรุปที่นี่ผม แนะนำให้มานะครับ และมาเร็วๆหน่อย เพราะไม่งั้นมืดก็จะไม่ได้ถ่ายรูป และไม่ได้เล่นกับลิงด้วย

สระนี้ผู้แสวงบุญจะใช้อาบน้ำเพื่อชำระบาปของตน

มากันเป็นแก๊งค์เลยครับ

เค้าบูชาอันนี้กัน ไม่รู้ว่าอะไร แล้วทำไมต้องใส่หน้าตาให้แบบนี้

          จบวันเราไปจบที่ร้านอาหารเดิม เพราะอร่อย555 และกลับห้องนอน เตรียมตัวตื่นเช้าเพราะอีกวันเราจะย้ายไป นิวเดลี

DAY3  New Delhi

          จริงๆที่นี่ไม่ค่อย มีสถานที่ที่เราสนใจมากเท่าไหร่แต่เนื่องจากเป็นเมืองหลวง และสถานที่ที่เราสนใจ
อยู่ระหว่างทางของ นิวเดลี กับ อักรา ยังไงก็ต้องผ่านอยู่ดีเลยมา

          เราออกแต่เช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชมได้
ซึ่งจริงๆ ถ้ามารถไฟจะเร็วกว่า แต่อย่างที่บอกแหละทริปเราเน้น สบายๆ ไม่ต้องใช้สมองมาก นั่งโง่ๆไป เดี๋ยวก็ถึงแล้ว

แวะเข้าห้องน้ำระหว่างทาง

มาถึงแล้วที่ เดลี

การจราจรในเมืองคือรถติดมาก เสียงแตรดังระงม เหมือนคนที่นี่ต้องการจะบีบแตรไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะพัง

          ปรากฎว่าไม่รู้ว่าวันนี้คือวันอะไร แต่สถานที่เที่ยวสำคัญของที่นี่ปิดหมด มีรั้วกั้นมีทหารเฝ้า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าสรุปมันมีอะไรวะ งงในงง ไป Red fort ก็ปิดแต่เราแวะเข้างานแฟร์แถวนั้นมีงานพอดี ไปอินเดียเกท ก็ปิดอะไรๆก็ปิด แต่ไม่เป็นไรสุดท้ายเราเลยให้คนขับไปส่งเราในบริเวณที่เรียกว่า เซ็นทรัล จะบอกว่าแถวนั้น เจริญหูเจริญตามาก
มีร้านทุกอย่าง ทั้งแบรนด์เนม starbuck ร้านคาเฟ่ชิคๆมีหมด

มาแต่ว่าเข้าไม่ได้ ทำไมถึงทำแบบนี้ ฮือๆ

ด้านข้างมีงานแฟร์เลยเดินเล่นนิดหน่อย

ทหารเต็มไปหมดไม่รู้ว่าเกิดไรขึ้น จนกลับมาก็ยังไม่รู้ปัทโถ่

อินเดียเกท landmark สำคัญก็ปิดจ้าล้อมรั้วเลย

ชอบร้านนี้ 555 lord of the drink ไอ้บ้า ที่สำคัญร้านใหญ่ด้วย

          แต่วันนี้เราแวะกินร้านนึง เป็นที่มี อาหารเอเชีย ไทย จีน ญี่ปุ่น และที่สำคัญถือว่าอร่อยเลยหล่ะ ก็ฟินกันไปอีก 1 มื้อ

ร้านชื่อ Chew Asian อร่อยมาก

ส้มตำยังมีคิดดู

มีโปรเบียร์ 1 แถม 1 ไปอีก

          ตอนจะกลับ เราหารถไม่เจอเราเลยส่งสาวๆ ไปคุยกับคนอินเดียให้ช่วยโทรหาคนขับให้ จะบอกว่าคนที่นี่มีน้ำใจมาก โทรให้เดินข้ามถนนพาไปส่งอีก เราเลยรู้ว่า ถ้าไม่ใช่โซนค้าขาย คนทั่วไปที่นี่เป็นคนใจดีมาก

หน้าตาคนใจดีที่พาเรามาส่งหารถ

          และเราก็มาเช็คอิน โรงแรม  Hotel Balaji บริการดีมากห้องสวย แม้จะตั้งอยู่ในซอยหลืบที่ดูน่ากลัว 555 และที่สำคัญดาดฟ้ามี บาร์ outdoor นั่งชิวนะจ๊ะ ก่อนจะไปเข้านอน และพรุ่งนี้ตื่นเช้าย้ายเมืองอีกครั้ง

หน้าโรงแรมข้างนอกแบบนี้แต่ข้างในดีมาก

DAY 4  NEW DELHI – AGRA

          วันนี้เราตื่นตอนเช้า ออกตั้งแต่ 9.00 เพื่อเดินทางไปเมือง อักรา เมืองที่มี 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แต่วันนี้เราจะแวะ 1 เมืองก่อนซึ่งอยู่ระหว่างทาง นั่นคือ เมือง Mathura เค้าบอกว่าที่นี่ คือบ้านเกิดของพระวิษณุ ซึ่งที่นี่จะมีพวกวัดเก่าแก่ทางศาสนาฮินดูเยอะมาก

ใครก็ชอบถ่ายรูปที่อินเดีย 

          แต่พอเดินทางมาถึงตอน 14.00 ปรากฎว่า วัดปิด ตอน 14.00-16.00 อ้าวทำไมคนขับไม่บอกตรูวะ ด้วยความโมโหไม่มากเลย หาไรกิน แถวนั้น เลย search หาอีกสถานที่นึง คือ Kusum sarovar ซึ่งห่างไกลออกไปอีกหลายสิบโลแต่อยู่ในเขตเมือง Mathura เหมือนกัน ซึ่งคนขับไม่ยอมไป บอกอยู่นอกเส้นทาง ใช้เวลาต่อรองนานมาก ( ก็เมิงพาตูมาเวลาวัดปิด) สุดท้ายยอม คนขับพาเราไป ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินพอดี แต่จะบอกว่า คุ้มค่าที่มาเพราะที่นี่สวยมาก พยายามหาประวัติภาษาไทยก็ไม่ค่อยมี ขนาดคนขับคนอินเดียยังไม่เคยมา แต่ที่นี่อารมณ์เหมือนวิหารโบราณที่มีน้ำอยู่ตรงกลาง ถ้าใครมีโอกาสอยากให้แวะมาดู

จัดไป Fashion Set 1 Set

โอ้ยยสวยมากๆ 

          หลังจากนั้นเราจึงเข้าเมือง Agra และสุดยอดความดีใจ คือข้างๆโรงแรมมี pizza hut เราเลยรีบเช็คอินแล้วไปกิน เฟล 1 คือไก่หมด เฟล 2 รสชาติ pizza เป็นรสชาติแขกหมด อ้าวว สรุปสั่งซะเยอะแต่กินไม่หมด เลยจบวันแบบเฟลอาหารมื้อเย็น แต่คืนนี้เราเข้านอนเร็วเพราะเราจะออก ตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่อไป ทัชมาฮาล ตอนพระอาทิตย์ขึ้น

DAY 5 TajMahal

          ตื่นตั้งแต่ตี 5 จากโรงแรมไป ทัชมาฮาล แค่ 10 นาที เมื่อไปถึงเราก็ไปรอซื้อตั๋วก่อน ค่าตั๋วคนละ 530 รูปี หลังจากนั้นก็ไปเข้าแถวรอเข้าข้างใน จะบอกว่าอากาศตอนเช้าหนาวมาก ประมาณเจ็ดโมงครับ ประตูถึงเปิด การตรวจค่อนข้างเข้มงวดมากขาตั้งกล้อง ปากกา ลิปสติก เอาเข้าไม่ได้ทั้งหมดแต่จะมีบริการฝากของได้ แต่ต้องเดินไปอีกหน่อย ราคาประมาณ 40 รูปีถ้าจำไม่ผิด สุดท้ายผมเอาขาตั้งกล้องปลาหมึกไปฝาก ก่อนจะได้เข้าไปข้างใน เข้ามาถึงจะบอกว่า ทัชมาฮาล ของจริงสวยมาก พีคมาก สวยแบบบรรยายไม่ได้ แต่วันนี้หมอกลงเยอะมากแต่ก็สวยไปอีกแบบ หลายๆคนน่าจะรู้อยู่แล้วสำหรับ ทัชมาฮาล ว่าทำไมเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ที่นี่คือ ที่เก็บศพของราชินี ของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน หลังจากที่คลอดบุตรคนที่14 แล้วเสียชีวิตท่านโศกเศร้านานกว่า 2 ทศวรรษแล้วใช้สมบัติทั้งหมดสร้างทัชมาฮาล ให้กับคนที่ท่านรักและกลายเป็นตำนาน จนถึงทุกวันนี้

ตั๋วเข้า เก็บไว้ด้วยเข้าที่อื่นต่อได้ในราคาถูก

โอ้ยยย ฟินมากสวยมาก

มีหมอกก็สวยไปอีกแบบ

          เราเดินชมทัชมาฮาลนานพอสมควร จากนั้นเราจึงกลับไปโรงแรม กินอาหารเช้า และเช็คเอาท์ จากโรงแรม hotel amar และที่นี่เป็นโรงแรมเดียวที่เราจ่ายเงินหน้างานเลย ปรากฎว่าโรงแรมคิดคนละราคากับที่จองมาทาง agoda อ้างว่า ภาษีเปลี่ยนวันนี้พอดี (แบบนี้ก็ได้หรอ) เถียงอยู่นาน สุดท้ายจ่ายๆไป เพิ่มไปพันกว่าหารกันก็คนละไม่กี่บาท และก็พูดจาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเราก็มาเขียนรีวิวบอกละกัน

          หลังจากนั้นเราก็ไปที่ Agra fort ซึ่งองค์การยูเนสโกตั้งให้เป็นมรดกโลก ตอนแรกที่นี่ถูกสร้างจากอิฐแต่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม อับดุล ฟาซัล เลยสั่งให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่โดยใช้หินทรายสีแดง ป้อมนี้ใช้เวลาถึง 8ปีในการสร้าง ที่นี่มีค่าตั๋วแพงอยู่ แต่ถ้าถือ passport ไทยจะได้อีกราคานึง และถ้ามีบัตร Taj mahal ราคาก็จะลดลงไปอีกเหลือ 40 รูปี ต่อคนโคตรคูล

ชุดก็จัดเต็มนะครับ 

จากที่นี่สามารถมองเห็น ทัชมาฮาลได้

          จบจากตรงนี้เราก็จะเดินทางกลับ ชัยปุระ แต่ที่นี่จะมีอีกเมือง ที่เราจะแวะเพราะอยู่ระหว่างทาง นั่นคือ Fatehpur Sikri ที่นี่จะบอกว่าเป็นอีกหนึ่งที่บอกว่าควรมาอย่างยิ่ง ตั๋วค่าเข้าก็ราคาไม่แพงครับ ต้องนั่งรถขึ้นไป 10 รูปีต่อคน และค่าเข้าอีกคนละ 40 รูปีและทุกๆที่เราไปจะเจอคนตื้อมาขอเป็น ไกด์ และเราไม่เคยเอาเลยเพราะภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียคือฟังโคตรยาก แต่คนนี้เราก็ปฏิเสธไปหลายรอบ แต่สุดท้ายนี่คือคนแรกที่ยอมจ้างเพราะภาษาอังกฤษคนนี้ดีมาก และดูตั้งใจมากและสุดท้ายเค้าพูดเลยว่า ถ้าไม่โอเคไม่ต้องจ่ายเงินเค้าทำด้วยใจเอาสิวะ สรุปว่าดีมากเพราะมันทำให้เราอินมากขึ้น เค้าเล่าประวัติว่าราชาสร้างที่นี่ขึ้น และมีภรรยา official 3 คน (ไม่นับแบบ ไม่ official อีกหลายร้อย ) นับถือคนละศาสนา อิสลามคนนึง ฮินดูคนนึง คริสต์ ราชาองค์นี้ไม่มีบุตรเลยมาทำพิธีที่นี่ ปรากฎว่าภรรยาคนที่นับถือฮินดู ให้กำเนิดลูกชาย เลยได้วังหลังใหญ่เลย แกก็พาไปดูว่าแต่ละห้องของภรรยาคนไหนบ้าง และเค้าก็พาเราไปทำพิธีขอพรแบบฮินดู บอกว่าศักดิ์สิทธิ์มากขนาดประธานาธิบดีอเมริกายังมาทำ พร้อมมีรูปให้ดู ฟังไปแล้วก็อิน สุดท้ายควักเงินทำบุญขอพรอย่างไม่คิด โดยเค้าจะให้เราเอาเชือกไปผูก 3 ครั้งขอได้ 3 ข้อ ห้ามขาดและเกินเด็ดขาด แต่ข้างในเค้าไม่ให้ถ่ายรูป เราเลยไม่มีรูปด้านในให้ดู

ต้องนั่งรถบัสต่อขึ้นไปด้านบนก่อน 

สวยงามมาก 

ตรงนี้จะเป็นพวกสุสานของนักบวชที่ทำพิธีที่นี่ทุกรุ่น

ด้านในคือที่ทำ พิธีขอพร

          เมื่อจบตรงนี้ จริงๆเราอยากแวะอีกที่ คือ chan baori ที่เป็นที่ถ่ายคุกในหนังเรื่องแบตแมน แต่เรามาไม่ทันแสงหมดก่อน สุดท้ายเลยไปที่สนามบินเลย

อำลาคนขับก่อน 

          สนามบินที่นี่ลืมบอกเข้าแล้วออกไม่ได้นะครับ และถ้ายังไม่ถึงเวลา check in ก็เข้าข้างในไม่ได้นะครับ และที่สำคัญคือมันไม่มีของกิน เพราะฉะนั้นกินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเข้าตอนเวลาเช็ดอิน 

อาหารไทยที่คิดถึงมากบนเครื่อง 

          สุดท้าย สำหรับทริปนี้เราบอกได้เลย อาหาร 80% ของจำนวนมื้อคืออร่อย นอนโรงแรมดี ที่เที่ยวสวย นั่งรถสบายไม่วุ่นวาย แต่รอบหน้าคงมาแบบผจญภัยกว่านี้ ซึ่งน่าจะได้อารมณ์กว่า แต่นี่สำหรับคนที่อยากเที่ยวสบายๆในอินเดีย บอกเลยว่า ถ้าเวลาดี อากาศดี การเที่ยวอินเดียของคุณสนุกแน่นอนเพราะที่นี่ยังมีอะไร น่าสนใจอีกเพียบ และยังยืนยันที่นี่เป็นที่ที่คุณควรมาก่อนตาย ถ้าอ่านจบทนไม่ไหว ลุกไปจองตั๋วไทยสมายเลย เลือกเลย 4 เมืองเอาอันไหน แล้วคุณจะรักอินเดีย และ รักเมืองไทยมากขึ้นแน่นอนฟันธง!!

 

2 COMMENTS

  1. สวัสดีคะ หลังจากติดตามเพจมานานเราพึ่งจะได้เจ้ามาดูในเว็บ เว็บนี้เร็วมากเลยคะ ต่างจากหลายๆเว็บที่เคยเข้า ไม่ทราบว่าใช้ host ของเว็บอะไรหรอคะ
    อยากจะเป็นกำลังใจให้ทำเพจแบบนี้ต่อไปนะคะ
    ประเทศโอมานเราเคยไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว สมัยนั้นไม่มีข้อมูลอะไรแบบนี้เลย น่าเสียดายมากคะ

LEAVE A REPLY